หลังจากที่ขึ้น Hardmode มาได้นั้น ชีวิตใน Terraria ของผู้เล่นก็จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศัตรูที่โหดขึ้นเป็นอย่างมาก อาวุธที่ต้องหากันใหม่เพื่อให้สู้กับพวกมันได้ และเหล่าบอสที่ไม่มียั้งมือกันเลยแม้แต่ตัวเดียว เรียกได้ว่าหากไม่พร้อมจริงการมาเยือนของพวกมันแต่ละตัวนั้นย่อมจบลงด้วยการมีศพเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องพูดถึงใน Expert กันเลยทีเดียว เละเทะกันแน่นอนจ้า
Terraria VS Boss ช่วง Hardmode
เมื่อขึ้น Hardmode มาได้นั้น บอสจะเริ่มถูกแบ่งเป็นขั้นเป็นตอนไล่ตามลำดับมากขึ้น โดยมี The Destroyer, The Twins, Skeletron Prime, Fishron ที่สามารถสู้ได้เลยทันที Plantera ที่จะต้องกำจัด The Destroyer, The Twins, Skeletron Prime ให้ครบเสียก่อน ตามด้วย Golem ที่จะปลดล๊อค Lunar Cultist ให้สู้ และปิดท้ายกันด้วย Moon Lord บอสใหญ่ของเกมนี้
สิ่งที่ควรระวังคือ เมื่อขึ้น Hardmode ปุ๊บ เหล่าบอสพื้นฐานทั้ง 3 ตัว The Destroyer, The Twins, Skeletron Prime จะสามารถสุ่มเกิดได้ในแต่ละคืนในทันที ถ้ามีโอกาสฟาร์มหาของนั้นควรรีบหาให้ไวที่สุดเพื่อรับมือพวกมันง่ายขึ้น โดยเฉพาะ Nimbus rod ที่หาได้ค่อนข้างง่ายที่สุดและมีประโยชน์เป็นอย่างมากทั้งในด้านการฟาร์มและการช่วยต่อสู้กับบอสหลายๆ ตัว
The Destroyer
You feel vibrations from deep below…
หนึ่งในทรีโอ Mechanical Boss ชุดแรกที่ผู้เล่นจะได้เจอ และก็ง่ายที่สุดเช่นเดียวกันในกรณีที่ผู้เล่นมีอาวุธที่โจมตีเป็นกลุ่ม (เช่นกระสุนระเบิดหรือ Nimbus Rod) ก็เป็นดังรูป มันคือบอสที่ต่อยอดมาจาก Eater of Worlds นั่นเอง (ในกลุ่มนี้จะไม่มี Brain of Cthulhu แต่อย่างใด เสียใจด้วยจ้า)
ในภาคคนเหล็กนี้ เจ้าหนอนยังคงนับจุดโจมตีเป็นปล้องๆ อยู่เช่นเคย เพียงแต่ว่ามันจะไม่หลุดจากกันแล้ว และนับเลือดรวมกันทั้งหมดทั้งตัวแทน เปิดโอกาสให้อาวุธที่โจมตีได้เป็นหมู่สร้างความเสียหายเป็นเท่าตัวได้หลายเท่าขึ้นกับจำนวนปล้องที่โจมตีโดนไปพร้อมๆ กัน
• เงื่อนไขการต่อสู้ : เวลากลางคืนเท่านั้น, ไม่ได้อยู่ใต้ดิน
• ไอเท็มในการเรียก : Mechanical Worm
ในด้านการต่อสู้นั้น เนื่องจากพลังชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น พลังโจมตีที่มหาศาล รวมถึงตัวที่ยาว(บรรลัย)ของมัน ทำให้การต่อสู้บนพื้นเป็นอะไรที่ลำบากมาก เนื่องจากพื้นที่ในการสู้ของผู้เล่นจะถูกกดดันด้วยลำตัวของมันเป็นอย่างมาก และไอ้เราก็เดินบนตัวมันไม่ได้ซะด้วย
นอกจากนี้เมื่อมันได้รับความเสียหาย แต่ละปล้องของมันจะปล่อย Probe ที่เป็นศัตรูขนาดเล็กบินได้ออกมา (ปล้องที่ยังไม่ปล่อยจะมีเลนส์สีแดงติดอยู่ นั่นคือเลนส์ของเจ้า Probe นี่เอง) และเจ้า Probe นี้ก็ยิงเลเซอร์ใส่ได้แรงไม่เบาเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ถ้ากำจัดมันได้ก็อาจจะได้หัวใจเพิ่ม HP หล่นมายื้อชีวิตได้อยู่บ้าง แน่นอนว่าปล้องที่ยังมีเลนส์อยู่ก็ยิงเลเซอร์ใส่เราได้เช่นกันนะจ๊ะ
ในด้าน Expert นั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากค่าต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น จึงใช้เทคนิคใกล้เคียงกับ Normal ได้เลย
การจัดเตรียมสภาพในด้านการสู้นั้น ทางที่ดีผู้เล่นควรจะเตรียมพื้นที่สู้กลางอากาศจะดีกว่า ดังที่ได้กล่าวไป การต่อสู้บนพื้นนั้น นอกจากว่าผู้เล่นจะถูกบีบให้หลบได้ยากแล้ว ยังสร้างความเสียหายกับตัวบอสได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีบางส่วนหลบซ่อนอยู่ใต้ดินด้วยนั่นเอง
และด้วยความที่ตัวมันเป็นหนอนชนิดหนึ่ง ทำให้มันอยู่ห่างจากพื้นดินได้เต็มที่แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น หากผู้เล่นอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้ามากพอนั้น ตัวบอสจะไม่สามารถพุ่งขึ้นมาถึงตัวได้เลย ทำให้ผู้เล่นต้องระวังเพียงแค่เหล่า Probe และเลเซอร์ทั้งหลายเท่านั้น (ซึ่งก็มากเกินพอแล้วด้วยซ้ำใน Expert)
โดยผู้เล่นจะใช้วิธีทำเป็นเชือกผูกขึ้นไปเรื่อยๆ และมีพื้นเป็น Block แข็งปูไว้กันกระสุนเลเซอร์ที่ยิงกราดขึ้นมาซักหน่อยก็เพียงพอแล้ว ด้วยพื้นที่ที่สูงกว่า ผู้เล่นสามารถสู้กับบอสได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้ปืน ธนู หรือ Nimbus Rod ยิงอัดลงไปเรื่อยๆ คอยกำจัด Probe ที่หลุดออกมาเป็นระยะๆ ก็จะเอาชนะบอสได้โดยไม่ต้องเหนื่อยวิ่งหลบหูตูบกันแล้ว
*ลูกธนูอย่าง Holy Arrow หรือกระสุน Explosive Ammo นั้น ช่วยในการกำจัด Destroyer ได้เป็นอย่างดีมากๆ*
The Twins
This is going to be a terrible night…
เมื่อบอสตัวแรกสุดกลับมาล้างแค้นอีกครั้ง และมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว! พล๊อทเป็นหนังเกรดบี แต่มันก็มากันแบบนี้จริงๆ การกลับมาของ Eye of Cthulhu นั้นมาพร้อมกันถึงสองดวงแบบเดียวกับชื่อของมันและเชื่อมต่อกันด้วยเส้นเอ็น(ทำไมไม่เป็นสายไฟ?) ซึ่งดวงนึงจะโจมตีด้วยการยิงกระสุนไฟสีเขียวที่ทำให้ผู้เล่นถูก Debuff Curse Inferno (ล้างออกด้วยน้ำไม่ได้) และอีกดวงสีแดงที่จะโจมตีด้วยการยิงเลเซอร์ไก่กาใส่ แค่หลบยากกว่าเฉยๆ
นอกจากนี้ถ้ายิงอย่างเดียวเดี๋ยวจะไม่สะใจ พวกมันยังมาพร้อมกับคุณสมบัติเดิมนั่นคือการชาร์จเข้าใส่ผู้เล่นหลายครั้งต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการแปลงร่างที่สองที่เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีของการยิงให้น่ากลัวและหวังผลกว่าเดิมอีกด้วย
บอสทั้งสองตัวจะรักษาระยะห่างจากผู้เล่นโดยอยู่ด้านข้างของผู้เล่นเสมอในช่วงยิงโจมตี เมื่อกำจัดได้ตัวหนึ่งพวกมันก็จะเป็นอิสระและมีการเคลื่อนที่คล้ายกับ Eye of Cthulhu ตามปกติ
• เงื่อนไขการต่อสู้ : เวลากลางคืนเท่านั้น, ไม่ได้อยู่ใต้ดิน
• ไอเท็มในการเรียก : Mechanical Eye
การสู้กับ The Twins นั้นอาจจะยากที่สุดในหมู่ทรีโอแล้วเนื่องจากเป็นบอสที่เคลื่อนที่ได้เร็วมาก โจมตีทั้งสองทิศทางและมี Debuff ที่รุนแรง หากกลายเป็นร่างสองก็จะยิ่งวุ่นวายกว่าเก่า การจะสู้จึงแบ่งกลวิธีออกเป็นการกำจัดลูกตาดวงใดดวงหนึ่งก่อน ไม่แนะนำให้ฆ่าๆ พร้อมๆ กันแต่อย่างใด เนื่องจากวิธีหลังนั้น ใน Expert แล้วส่วนมากจะตายหมู่กันมากกว่าจะรอด
พื้นที่การต่อสู้ก็มักจะเป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่มีอะไรเกะกะเป็นพิเศษ หรือบางทริคก็จะนิยมใช้การสร้างกำแพงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในระยะการบินด้วยปีก 1 ครั้ง และเว้นช่วงกำแพงไว้ย้ายข้ามฝั่งยามจำเป็น จากนั้นบินสู้ใกล้กับกำแพงเพื่ออาศัยกำแพงเป็นตัวกั้นกระสุนจากลูกตาอีกดวงหนึ่งเอา แน่นอนว่าด้วยความไวเป็นกรดและการเว้นระยะห่าง ปืนจึงเป็นอาวุธที่เหมาะที่สุดในการสู้กับบอสตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น Megashark, Chain Gun ก็ตาม โดยกระสุน Crystal Bullet นั้นจะมีความเหมาะสมที่สุดในการเร่งความเสียหายในการต่อสู้กับบอสสองตัวนี้
แน่นอนว่าใน Expert นั้นลูกตาเหล่านี้ก็ยังมีแค่ค่าสเตตัสเพิ่มขึ้นเฉยๆ เท่านั้น
สำหรับบอสตัวนี้นั้น ในร่างแรกช่วงยิงจะโจมตีด้วยการยิงลูกไฟเป็นเส้นตรง หลบได้ค่อนข้างง่ายใส่เราเรื่อยๆ หากโดนก็จะติด Debuff Curse Inferno ที่ลบออกด้วยน้ำไม่ได้ ทำให้เราเสียเลือดและกังวลได้ง่ายๆ เมื่อกลายเป็นร่างที่สองนั้นการยิงจะเปลี่ยนเป็นการพ่นไฟอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลางแทน หากพลาดโดนเข้าและหนีไม่ทัน หรือไม่มีการป้องกันการ Knock Back อย่าง Ahnk Shield, Cobolt Shield อาจจะโดนยาวๆ ยันตายเลยก็ได้
หากเลือกที่จะกำจัดลูกตาดวงนี้ทีหลังนั้น พื้นที่การต่อสู้ควรมีพื้นที่ให้หลบและวิ่งไปมาเป็นวงกว้างได้เพื่อจะได้หลบตอนที่มันพ่นไฟได้
• ลูกตาสีแดง Retinazer
ลูกตาสีแดงนั้นค่อนข้างที่จะอ่อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด การโจมตีของมันในร่างแรกนั้นจะเป็นการยิงเลเซอร์ความแรงพอประมาณออกมา แม้จะหลบยาก แต่หากเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลานั้นก็แทบจะไม่โดนเลยก็ว่าได้ ในร่างที่สองนั้นการโจมตีจะเปลี่ยนเป็นการระดมยิงเลเซอร์ที่รัวเป็นอย่างมาก ทำให้โอกาสหลบได้นั้นต่ำมาก แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนถึงกับพลาดทีขวัญเสียถึงตายกันได้ทำให้คนส่วนมากมักจะเลือกกำจัดมันเป็นตัวหลัง เนื่องจากจะได้มีเวลาพักฟื้นหลังเหนื่อยจากตัวแรกมาบ้าง และการสู้กับมันแบบ 1-1 ในช่วงหลังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้างสุดๆ เหมือนกับอีกตัวด้วย
Skeletron Prime
The air is getting colder around you…
ในทางกลับกันกับ The Twin นั้น Skeletron Prime กลับเป็นบอสที่ดูจืดชืดที่สุดเมื่อเทียบกับบอสอีกสองตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายกาจ แม้ว่าจะมีแขนเพิ่มมาอีกสองเป็นสี่ข้างก็ตามที
ตัว Skeletron Prime นั้นมาพร้อมกับกลยุทธ์เดิมนั่นคือการต้องทำลายส่วนหัวจึงจะกำจัดได้ แต่คราวนี้มันมีสี่แขนที่มาถ่วงแข้งถ่วงขา เกะกะวิธีกระสุนกันแบบสุดๆ ทำให้ปกติกว่าจะฆ่าได้ แขนก็กุดกันไปแล้วข้างสองข้าง เดี๋ยวจะลืมกันไปก่อน ส่วนหัวมันก็ยังคงหมุนเข้าใส่ได้เช่นเคย เพิ่มเติมคือแขนมันก็ยังโจมตีต่อนะจ๊ะ
แขนทั้งสี่ของมันก็ไม่มีอะไรพิเศษ โดยเป็นแขนที่โจมตีระยะประชิดสองข้าง (ด้วยการยืดมาไล่อัดเรานั่นแหละ) ตามเคย และเพิ่มมาอีกสองข้างคือปืนเลเซอร์กิ๊กก๊อกที่ไม่ได้น่ากลัวอะไรนักและเครื่องยิงลูกระเบิดที่กลิ้งกลุ๊กๆ ไปตามพื้น หาโอกาสจะโดนเราได้ยากยิ่งกว่าหวยออก ทำให้ปัญหาหลักในการต่อสู้กับมันนั้นคือทำยังไงถึงจะฆ่ามันทันก่อนหมดเวลามากกว่า เพราะบินไปมาและแขนมันก็บังกระสุนซะเหลือเกิน
เช่นเคย Expert ก็แค่เพิ่มเลือดกับพลังโจมตีและพลังป้องกันเท่านั้นจ้า น่าผิดหวังจริงๆ พี่ชาย
• เงื่อนไขการต่อสู้ : เวลากลางคืนเท่านั้น, ไม่ได้อยู่ใต้ดิน
• ไอเท็มในการเรียก : Mechanical Skull
แต่ถึงจะบอกว่ามันเป็นบอสที่กิ๊กก๊อกนั้น อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีความเป็นบอสระดับ Hardmode อยู่ และนั่นก็หมายถึงการเตรียมพื้นที่พอประมาณด้วย พูดขู่ไปงั้นแหละ ผู้เล่นสามารถใช้พื้นที่โล่งๆ กว้างพอประมาณ ปูด้วย Wood Platform ซัก 2-3 ชั้น ก็เพียงพอแล้ว เลี่ยงการสู้บนพื้น Block แข็งเพื่อป้องกันระเบิดกี๊กก๊อกก็พอ
ดังที่ได้บอกไปในตอนแรก ปัญหาในการสู้กับ Skeletron Prime นั้นจะอยู่ที่การกำจัดมันให้ทันเวลาเสียมากกว่า ด้วยแขนสี่ข้างที่มีพลังชีวิตพอๆ กับบอสซักตัว และส่วนหัวที่บินไปมาแถมยังเล็ก (ไม่นับว่าสู้ตอนกลางคืนมืดๆ อีกเถอะ) ทำให้การเล็งยิงส่วนหัวนั้นยากกว่าที่คิดมาก อีกทั้งการเผลอก็อาจจะเจอมันเอาคีมหรือเลื่อยทะลวงพุงกะทิตายเอาง่ายๆ ได้
ทั้งหมดจึงอยู่ที่ทักษะการเล็งของผู้เล่นเสียมากกว่าร่วมกับความไวในการตอบโต้กับการโจมตีระยะประชิดของตัวบอส และส่วนมากจังหวะระดมยิงหัวจึงเป็นช่วงที่มันหมุนหัวใส่เหมือนเดิมนั่นเอง อย่างไรก็ดี หลายคนก็เลือกที่จะกุดๆ แขนมันไปแต่แรกเลยเพื่อให้สู้ได้ง่ายขึ้นมากนั่นเอง
Plantera
The jungle grows restless…
บอสตัวใหม่ที่จะปรากฎตัวขึ้นมาภายในป่าดงดิบ Jungle หลังจากที่ผู้เล่นสามารถกำจัด Mechanical ทั้งสามตัวลงได้สำเร็จ โดยจะมีประดยคขึ้นว่า The jungle grows restless… แสดงให้ผู้เล่นทราบว่าตอนนี้เงื่อนไขการต่อสู้กับ Plantera พร้อมแล้ว
การจะต่อสู้กับบอสตัวนี้นั้น ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปยัง Jungle เพื่อค้นหาดอกตูมสีชมพูอ่อนที่จะสุ่มเกิดเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปซักพักหลังจากที่กำจัดบอสทั้งสามตัวลงได้แล้ว เมื่อทำลายดอกตูมนี้ จะเป็นการเรียกบอสออกมาต่อสู้ ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีจำกัดเงื่อนไขอื่นๆ แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ หากผู้เล่นออกมานอกเขตของ Jungle เมื่อไหร่ Plantera จะกลายเป็นสถานะโกรธซึ่งจะโหดกว่าเดิมแบบมหาศาล ขยี้ผู้เล่นทิ้งได้ภายในเวลาชั่วอึดใจ
ตัว Plantera เองยังมีถึงสองร่างด้วยกันที่แม้ว่าโดยรวมการต่อสู้จะไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำให้ยากขึ้นพอสมควรและมีพื้นที่ให้ผิดพลาดโดนอัดได้น้อยลงเป็นอย่างมาก หากผู้เล่นกำจัดมันได้ ก็จะปลดล๊อคส่วนของ Lizhazard Temple ให้เข้าไปได้ต่อ
• เงื่อนไขการต่อสู้ : ไม่จำกัด
• ไอเท็มในการเรียก : ทำลาย Plantera Bulb เท่านั้น (ใช้ Pickaxe)
ด้วยความที่ต้องสู้กันใน Jungle นั้น ทำให้ผู้เล่นต้องปวดประสาทเป็นอย่างมากกับตัวพื้นที่ที่วกวน เกะกะ หาที่หลบยาก จะทำที่โล่งๆ ก็ขี้คร้านจะโดนฝูงผึ้งรุมยิงระหว่างสู้ให้ปวดกบาลกว่าเดิมแถมทำไป มันก็ดั้นไม่ยอมมาเกิดใกล้ๆ อีก แต่ถึงกระนั้น ผู้เล่นก็มักเลือกที่จะหาพื้นที่โล่งๆ หรือใช้วิธีขุดเป็นเหวลึกยาวๆ ตั้งแต่ผิวดินยันใต้โลกกันไปเลย เพื่อเอาไว้สู้กับมันโดยเฉพาะและใช้วิธียอมเสียเวลาค่อยๆ ล่อมันมาในพื้นที่ที่กำหนดอีกที
ตัว Plantera นั้นเคลื่อนที่ด้วยการใช้ระยางค์(ไม่สามารถทำลายได้ แต่เราโดนแล้วเจ็บ แย่ว์)เกาะกับ Block และดึงตัวเองเข้ามา ทำให้หากไม่มี Block ให้ยึดเกาะแล้ว การเคลื่อนที่ของมันจะถูกจำกัดลงอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละ Jungle นั้นรู้กันว่ารกอย่างกับอะไรดี จะเคลียร์ให้หมดก็สิ้นเปลืองเวลายิ่งกว่ามาฆ่ามันหลายสิบเท่าเสียอีก (แถมลดพื้นที่ในการเกิดดอกตูมลงอีกตะหาก)
การต่อสู้ในพื้นที่โล่ง จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหลบหนีได้อย่างมีอิสระขึ้นและจำกัดพื้นที่การเคลื่อนที่ของ Plantera ไปในตัว ส่วนการต่อสู้ในเหวนั้น จะเป็นลักษณะของการบินขึ้นละปล่อยตัวลงไปตามเหว ระหว่างนั้นก็ยิงแลกกับ Plantera แบบเอาเป็นเอาตายให้ได้ก่อนจะถูกฆ่านั่นเอง ซึ่งผู้เล่นสามารถลดความเสียหายได้ด้วยการทำให้เหวกว้างขึ้น (เพื่อหลบกระสุนต่างๆ ในช่วงแรก) ควบคู่กับการใช้เครื่องประดับอย่าง Philosopher Stone, Cross Necklace เพื่อยื้อพลังชีวิต
ในร่างแรกนั้นตัว Plantera จะมีลักษณะเป็นดอกตูมสีชมพู เคลื่อนที่ช้าๆ มาหาผู้เล่น พร้อมกับยิงกลีบดอกไม้สีชมพูและสีเขียวใส่ (สีเขียวจะรุนแรงกว่าและมีพิษ) เมื่อเลือดลดลงมันจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นและเริ่มยิงลูกบอลหนามออกมา เจ้าบอลหนามนี้จะสะท้อนไปมาได้และจะอยู่ในฉากค่อนข้างนานเลยทีเดียว
ในระดับ Expert กลีบดอกไม้จะยิงรัวขึ้นและทะลุกำแพง รวมถึงลูกบอลหนามจะถูกเล็งเข้าใส่ผู้เล่นอย่างแม่นยำขึ้นมาก
• ร่างสอง
บอสจะเปลี่ยนเป็นร่างสองเมื่อเลือดลดลงไปครึ่งหนึ่ง โดยกลีบดอกไม้จะร่วงออกกลายเป็นปากหนามแทน การโจมตีจะกลายเป็นการพยายามวิ่งมาชนกับผู้เล่นให้ได้ รวมถึงมีระยางค์จำนวนมากแตกออกมาจากลำตัวของมัน (ระยางค์เล็กๆ เหล่านี้สามารถถูกทำลายได้) นอกจากนี้จะมีการปล่อยละอองดอกไม้เป็นระยะๆ ที่แม้จะทำลายได้แต่จะสร้างความเสียหายมากถ้าเผลอไปโดนเข้า
ในระดับ Expert นั้น ระยางค์ที่ลำตัวจะมีตรงที่ส่วนที่ใช้ยึดเกาะด้วย รวมถึงระยางค์ที่ใช้เกาะตามฉากก็จะมีงอกขึ้นมาเพิ่มเข้าไปอีก ทำให้พื้นที่ต่อสู้ลดลงเป็นอย่างมาก
Golem
หลังจากที่ผู้เล่นเปิด Lizhazard Temple ได้แล้ว ภายในก็จะมีกลไกมากมาย และด้านในสุดของห้องนั้นก็จะเป็นห้องโถงสำหรับที่ผู้เล่นจะทำการเรียก Golem ออกมาสู้ได้นั่นเอง โดยเจ้าตัว Golem นั้นสามารถสู้ได้ไม่จำกัดที่ แต่เนื่องจากการที่ตัว Altar นั้นอยู่ในห้องที่สะดวกสู้อยู่แล้ว และใน Temple ก็เป็นแหล่งในการหาตัว Power Cell ทำให้ไม่ค่อยมีผู้เล่นอยากจะย้ายไปสู้กับมันที่อื่นซักเท่าไหร่นัก
การต่อสู้กับ Golem นั้นค่อยข้างเรียบง่ายและสามารถใช้แผนชั่วในการสร้างกำแพงกั้นการโจมตีบางส่วนของมันได้ ทำให้การต่อสู้นั้นง่ายขึ้นมาก (แทนที่จะโดนตัวมันไล่เหยียบไปเรื่อยๆ) ทำให้หลายๆ คนจัดมันเป็นบอสที่ง่ายกว่า Plantera เสียอีก และก็เหมือนกับคำขอ ที่อาวุธของ Golem ส่วนมากนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้ซักเท่าไหร่อีกด้วย
• เงื่อนไขการต่อสู้ : ไม่จำกัด
• ไอเท็มในการเรียก : ใช้ Lizhazard Power Cell กับ Lizhazard Altar
ในการเตรียมการสู้กับ Golem นั้น ผู้เล่นส่วนมากจะทำการปู Wood Platform ในห้องโถงเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการต่อสู้ ตามด้วยการกั้นกำแพงแยกตัว Altar ออกจากห้องโถงเพื่อป้องกัน Golem โดดไปทั่ว และเว้นช่องไว้สำหรับยิงโจมตีกลับเข้าไป (ในระหว่างการต่อสู้ Golem จะกระโดดเข้าใส่เป็นระยะ การมีกำแพงกั้นจะทำให้การต่อสู้นี้ง่ายขึ้นมหาศาล)
ตัว Golem นั้นแบ่งเป็นสองช่วงในการสู้ และส่วนมือยังสามารถถูกทำลายได้ ซึ่งจะทำให้การโจมตีด้วยการยืดหมัดต่อยนั้นหายไป นอกจากนี้หมัดแต่ละข้างนั้นจะต่อยใส่ผู้เล่นที่อยู่ด้านเดียวกันหรือตรงกลางเท่านั้น ทำให้หากยืนอยู่เพียงด้านเดียวและทำลายหมัดข้างนั้นได้ ก็จะไม่ต้องเสียเวลายุ่งกับหมัดอีกข้างเลยทีเดียว ง่ายได้อีก!
ระดับ Expert นั้นจะเพิ่มเลือด พลังโจมตีและพลังป้องกัน แต่ไม่มีท่าพิเศษอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยากแต่อย่างใด
ในช่วงแรกนั้น Golem จะพยายามกระโดดไปมา และต่อยผู้เล่น ส่วนหัวนั้นจะยิงเลเซอร์ที่ทะลุกำแพงได้ พร้อมกับปล่อยลูกไฟที่สะท้อนผนังไปมา ซึ่งโดยรวมแล้วเมื่อขังไว้ในกำแพงก็ทำให้มันเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมือนเป็นกระสอบทรายมากกว่าบอส ผู้เล่นสามารถใช้เวลานี้ในการทำลายหมัดทิ้งก็ยังได้
ผู้เล่นจะต้องโจมตีเข้าส่วนหัวไปเรื่อยๆ เมื่อพลังชีวิตลดถึงที่กำหนดแล้ว ส่วนหัวจะหลุดลอยออกมาเป็นการเข้าสู่ช่วงที่สอง
• ช่วงสอง
อันที่จริงในช่วงที่สองนั้นรูปแบบการโจมตีต่างๆ นั้นก็จะไม่ต่างจากเดิมเลย ยกเว้นแค่จุดที่ต้องโจมตีนั้นจะเปลี่ยนมาเป็นลำตัวแทน ซึ่งเมื่อเลือดมันเหลือ 0 เมื่อไหร่ก็จะตายลงไป และสิ่งที่ทำให้ยากก็มีเพียงแค่ส่วนหัวที่ลอยออกมาไล่โจมตีผู้เล่นเท่านั้น ซึ่งหากผู้เล่นเตรียมการมาพร้อม ปกติ Golem ก็จะตายก่อนที่ผู้เล่นจะได้รับบาดเจ็บหนักเสียอีกด้วยซ้ำ เนื่องจากผู้เล่นสามารถยิงหรือโจมตีอัดเข้าไปในกำแพงแบบเน้นๆ เต็มๆ ได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา หรือคอยหันปืนตามแต่อย่างใด
Duke Fishron
Duke Fishron นั้นจะจัดว่าอยู่ในกลุ่มของบอสลับก็ว่าได้ เนื่องจากการฆ่า Duke Fishron นั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อตัวเกมเลย ไม่มี Event ใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ทำให้การเล่นเปลี่ยนไป แถมยังสามารถฆ่าได้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีความสามารถพออีกด้วย ตัวอาวุธของ Duke Fishron นั้นจัดว่าโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง แทบจะสู้สีกับอาวุธระดับท้ายเกมชิ้นอื่นๆ เลยทีเดียว
Duke Fishron นั้นจัดว่าเป็นบอสที่สู้ได้ยากมากอันดับต้นๆ ในเกม ด้วยความเร็วที่รวดเร็ว พลังโจมตีที่รุนแรงมาก และการจำกัดพื้นที่สู้ พร้อมกับการเรียกที่แทบจะโดนอัดฟรีตั้งแต่เรียก จึงเป็นบอสที่สามารถบอกกลายๆ ได้ว่าแม้จะสู้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าของไม่ถึงจริง กลายเป็นปุ๋ยสาหร่ายแน่นอน
การจะเรียก Duke Fishon ออกมาสู้นั้นก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน โดยผู้เล่นจะต้องทำกรหาเจ้า Truffle Worm ให้ได้เสียก่อน เจ้าหนอนนี้จะสุ่มเกิดในพื้นที่ Underground Mushroom เท่านั้นและเป็นระดับ Rare แถมยังต้องจับด้วย Bug Net อีกตะหาก เพื่อให้ยุ่งยากมากกว่าเดิม มันยังโดนฆ่าได้อย่างง่ายดาย, มีเวลาจับแค่ไม่กี่วินาทีก่อนมันจะมุดหนีไปเมื่อเห็นผู้เล่น ทำให้หลายๆ คนแทบจะต้องสร้างพื้นที่สำหรับวิ่งหาหนอนโดยเฉพาะกันเลย
เมื่อได้หนอนมาแล้วนั้น ก็ทำการตกปลาในทะเลด้วยหนอนตัวนี้ ซึ่งเมื่อปลากินเบ็ด การตกขึ้นมานั้นจะเป็นการเรียก Duke Fishron ออกมาอย่างแน่นอน และการต่อสู้ก็จะเริ่มขึ้นอย่างโคตรจะแฟร์ทันที
• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ในเขตทะเลเท่านั้น
• ไอเท็มในการเรียก : ตกปลาในทะเลด้วย Truffle Worms
การเตรียมการสู้กับ Duke Fishron นั้น มักจะทำโดยการเช็คระยะพื้นที่ของทะเล และกั้นไม่ให้ผู้เล่นวิ่งเกินออกไปซะเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านข้างหรือด้านบนก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นสถานะโกรธที่จะไล่ชนผู้เล่นอย่างแรงมากจนไม่มีทางสู้ ผู้เล่นควรวาง Platform ไว้เหนือทะเลเพื่อป้องกันการพลาดตกทะเลจนเสียความคล่องตัวและกลายเป็นปุ๋ยสาหร่ายในเวลาอันสั้น
การวาง Wood Platform ให้สูงกว่าระยะของ Sharknado (ในช่วงที่สอง) เล็กน้อยจะช่วยให้ผู้เล่นมีพื้นที่วิ่งหนีได้ง่ายขึ้น และเป็นการบังคับให้ Sharknado เกิดในความสูงที่ต้องการระหว่างพายุแต่ละลูกได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี การสู้กับ Duke Fishron นั้นจุดสำคัญจะอยู่ที่ปฎิกิริยาตอบรับของผู้เล่นในการหลบ, การเล็ง เนื่องจากการถูกโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งก็เพียงพอที่จะส่งผู้เล่นไปเกิดใหม่ได้แล้ว ซึ่งการโจมตีของมันก็กว้างเหลือเฟือเลยทีเดียวอีกด้วย อาวุธระยะไกลที่มีความแม่นสูงอย่างปืน และเครื่องประดับที่ช่วยในการเอาตัวรอดไม่ว่าจะเป็น Ninja Gear, Tabi, Wing, Philosopher Stone นั้นต่างก็ช่วยให้เอาตัวรอดได้ง่ายขึ้นทั้งนั้น
การต่อสู้กับ Duke Fishron นั้นแนะนำว่าผู้เล่นควรจัดอาวุธที่โหดที่สุดเท่าที่จะมีเลยหลังกำจัด Golem ได้ ผู้เล่นส่วนมากมักจะใช้ Chlorophyte Bullet ควบคู่กับ Chain Gun, Megashark ในการยิง เพื่อจะได้ทุ่มสมาธิไปกับการหลบแทน อาวุธ Melee นั้นไม่แนะนำเป็นอย่างมาก ส่วนอาวุธเวทย์อย่าง Bat Scepter, Spectre หรือ Razorpine นั้นก็สามารถใช้ในการสู้ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าถ้าผ่าน Frost Moon, Solar Eclipse, Pumpkin Moon กันมาได้ก็ควรจะฟาร์มกันให้เต็มที่ (ส่วน Martian นั้นจัดว่าอยู่ในระดับเท่ากัน ฮา)
ในช่วงแรกนั้น Duke Fishron จะโจมตีหนึ่งในสามแบบ โดยสลับการโจมตีระยะไกล การโจมตีระยะใกล้ และการโจมตีระยะไกลอีกแบบหนึ่ง การโจมตีระยะใกล้ วนไปเรื่อยๆ
– การโจมตีระยะใกล้จะเป็นการพุ่งชนผู้เล่นติดกัน 5 ครั้งเหมือนกับ Eye of Cthulhu แต่รวดเร็วกว่ามาก การจะหลบได้นั้นจะต้องมีการกะดักทางที่ดีพอ
– การโจมตีระยะไกล 1 จะเป็นการพ่นฟองออกมา ฟองนี้จะลอยเข้าใส่ผู้เล่นเพื่อสร้างความเสียหายใส่เม่อสัมผัสโดน แต่ถูกทำลายได้ง่ายมากสุดๆ เช่นกัน
– การโจมตีระยะไกล 2 จะทำการสะบัดครีบ ก่อนปล่อยวงล้อน้ำออกมาสองวงซ้ายขวา เมื่อพุ่งไปถึงระยะที่กำหนดหรือชน Block (ไม่นับ Platform) จะก่อตัวเป็น Sharknado ขนาดกลางที่จะปล่อยฉลามออกมาโจมตี ตัว Sharknado นั้นจะไม่เคลื่อนที่และจะอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่
• Phase 2
เมื่อเลือดของ Duke Fishron ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง สีของมันจะเข้มขึ้นและเปล่งแสงสีเหลืองออกจากลูกตา ในช่วงนี้การโจมตีจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ยังอยู่ใน pattern สลับกันเหมือนเดิมทุกประการ
– การโจมตีระยะใกล้จะเป็นการพุ่งชนผู้เล่นติดกัน 3 ครั้งติดกันและรวดเร็วขึ้นไปอีก
– การโจมตีระยะไกล 1 จะเป็นทำการตีลังกา 1 รอบพร้อมปล่อยฟองออกมา ทำให้การกำจัดฟองนั้นยากขึ้น
– การโจมตีระยะไกล 2 จะเป็นการปล่อยวงล้อน้ำออกมา ซึ่งจะพุ่งมาชนผู้เล่น (ยังไม่สร้างความเสียหาย) และกลายเป็น Sharknado ที่มีขนาดใหญ่มาก และปล่อยฝูงฉลามออกมามากกว่าเดิมสองเท่า
• Phase 3 (Expert Mode เท่านั้น)
เมื่อเลือดของบอสต่ำกว่า 8500 ท้องฟ้าจะมีหมอกปกคลุม ตัวของบอสจะล่องหนหายไป มองเห้นได้ยากมาก จะมีจุดสังเกตุเป็นลูกตาสีเหลืองในสายหมอกเท่านั้น พลังโจมตีของบอสจะลดลงเล็กน้อยเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย การโจมตีของบอสจะเปลี่ยนไปแบบหวังผลกันสุดๆ โดยมีความเร็วสูงสุดตลอดเวลา และใช้วิธีเทเลพอร์ทไปยังด้านใดด้านหนึ่งของผู้เล่น ก่อนจะปรากฎตัวให้เห็นและพุ่งชนด้วยความไวเป็นอย่างมาก ทำให้การวิ่งหนีนั้นไม่สามารถเป็นไปได้อีก แน่นอนว่ามันก็จะไม่โจมตีรูปแบบอื่นแล้วล่ะ
Lunatic Cultist
หลังจากที่กำจัด Golem ลงได้แล้ว บริเวณหน้า Dungeon นั้นจะปรากฎกลุ่มศัตรูใหม่ขึ้นมา โดยเป็นพวกลัทธิกำลังทำพิธีอยู่ ซึ่งเราจะสามารถเดินผ่านได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร แต่หากไปโจมตีพวกมันนั้น มันจะเริ่มต้นสู่กลับทันที และเมื่อกำจัดสาวกได้ทั้งหมด เจ้าลัทธิผู้เป็นบอสก็จะปรากฎตัวออกมา
ตัว Lunatic Cultist นั้นมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลายมาก และด้วยความที่ตัวเล็ก ลอยอยู่กลางอากาศและเทเลพอร์ทไปมา ทำให้การต่อสู้เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะป่วนอยู่ไม่น้อย หนำซ้ำยังได้รับความเสียหายจากการโจมตีนำวิธีและ Summon ต่างๆ เบาลงถึง 75% อีกด้วย ให้ดิ้นตาย
*หากผู้เล่นยังไม่พร้อมในการสู้กับ Moon Lord หรือ Lunar Event ควรเลี่ยงการสู้กับบอสตัวนี้ไว้ก่อน เนื่องจากไม่มีอาวุธ drop เพิ่มเติม และเมื่อกำจัดบอสตัวนี้ได้ Lunar Event จะเริ่มทันทีโดยไม่สามารถหยุดได้อีก*
• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ใกล้กับบอส ไม่ไกลจนเกินไป
• ไอเท็มในการเรียก : กำจัด Cultists ทั้งสี่คนให้หมด
การต่อสู้กับบอสนั้นจะเป็นการบวกกันกลางอากาศเป็นส่วนมาก ดังนั้นอาวุธระยะไกลและเครื่องประดับที่ช่วยให้ลอยตัวได้อย่างปีกเป็นอะไรที่จำเป็นมาก โดยบอสจะมีรูปแบบการโจมตีที่ค่อนข้างหลากหลาย
– ยิงลูกบอลไฟนำวิธีใส่สามลูกที่จะระเบิดเมื่อกระทบกับเป้าหมาย
– ปาบอลหิมะใส่ ซึ่งบอลนี้จะค่อยๆ หายไปและกระจายเกล็ดหิมะไปทั่วระหว่างที่ลอยไป
– เรียกบอลสายฟ้าที่จะปล่อยสายฟ้าออกมาเข้าใส่ผู้เล่น
เมื่อเลือดของบอสลดลง มันจะเริ่มปล่อยลูกบอลแสงที่สามารถทำลายทิ้งได้ผสมเข้าไปในการโจมตีด้วย
ระหว่างการต่อสู้นั้น หลังจากบอสโจมตีได้ซักพักจะทำการทำพิธี โดยสร้างตราสัญลักษณ์ออกมาและเรียกร่างปลอมออกมาหลอกล่อ การโจมตีโดนร่างปลอมจะส่งผลให้มีมังกรเข้ามาโจมตีผู้เล่นเพิ่มตัวหนึ่ง (ใกล้เคียงกับ Wywern เป๊ะๆ) และหากยังโจมตีร่างปลอมอีกระหว่างที่มังกรยังอยู่ จะมีการเรียก Ancient Vision หรือหัวหมึกสีเหลืองมาซ้ำอีก เมื่อพิธี ร่างปลอมนั้นจะเข้ามาช่วยรุมสกรัมผู้เล่นพร้อมกับโจมตีด้วยเปลวไฟติดตามสีดำเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก
ผู้เล่นสามารถหยุดพิธีนี้ได้ด้วยการใจเย็นๆ และโจมตีใส่ร่างจริงให้โดนก็พอ และจุดสังเกตุก็จะค่อนข้างต่างกันพอสมควรถ้าผู้เล่นสังเกตุซักนิด
ในระดับ Expert นั้น การโจมตีของตัวบอสจะมีการเพิ่ม Ancient Doom ที่จะยิงกระสุนสีม่วงเป็นทิศกากบาทเพิ่มความมั่วซั่วในวิธีกระสุนเข้าไปอีกเป็นอย่างมาก ให้ดิ้นตาย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับบอสอย่าง Plantera แล้วนั้น ผู้เล่นมีโอกาสที่จะ upgrade อาวุธของตัวเองได้ทั้ง Duke Fishron, Martian Event หรือจาก Pumpkin/Frost Moon ทำให้โดยรวมแล้วการต่อสู้กับ Lunatic Cultist นั้นง่ายกว่าที่คิดมาก
Moon Lord
Impending doom approaches…
บอสใหญ่ประจำเกมนี้ผู้มาพร้อมกับความโหดแบบเต็มพิกัด ของไม่พร้อม ไม่ต้องหวังจะรอด พร้อมยังไม่รอดเลยบางที! ซึ่งหน้าตานั้นก็จะอ้างอิงกันมาจาก Cthulhu ของ H. P. Lovecraft พอสมควร และก็ด้วยความเป็นลาสบอส พี่แกจะมีการโจมตีที่เถื่อนและความยุ่งยากในการต่อสู้ไม่น้อย แน่นอนว่าลาสบอสทั้งที ไม่มีคำว่าให้หนีนะจ๊ะ วิ่งยังไงก็เทเลพอร์มมาจู๋จี๋กันต่อได้เสมอ
วิธีการได้เจอตัวนั้นก็ยุ่งยากไม่แพ้การสู้กับเจ้าตัว นั่นคือการกำจัด Lunatic Cultist หรือใช้ Celestial Sigil เพื่อเปิดตัว Lunar Event ให้ทำงาน จากนั้นผู้เล่นต้องไล่ถล่มเสา Celestial Tower ทั้งสี่ลงให้เรียบร้อย ก็จะขึ้นสัญญาณเตือน Impending doom approaches… ขึ้นมาให้ผู้เล่นรับทราบว่า ขณะนี้ Moon Lord กำลังจะเกิดแล้ว โดยมีเวลาให้เตรียมตัวเพิ่มเติมราวๆ 1 นาที พร้อมกับหน้าจอที่เบลอไม่ชัดเป็นลางบอกเหตุ
ตัว Moon Lord นั้นแบ่งการต่อสู้ออกเป็นสองช่วง โดยช่วงแรกจะเป็นการสู้กับส่วนต่างๆ บนร่างกายได้แก่ หัว และแขนทั้งสองข้าง ที่จะมีลูกตาติดอยู่ ผู้เล่นจะโจมตีใส่ได้เฉพาะตอนที่ลูกตาเปิดอยู่เท่านั้น และเมื่อทำลายได้ ลูกตาจะหลุดออกมาเหมือนกับวิญญาณและโจมตีผู้เล่นต่อไปจนกว่าจะทำลายครบทั้ง 3 จุด จึงจะเข้าสู่ช่วงที่สองที่เปิดให้ผู้เล่นโจมตีแก่นของบอสได้ แน่นอนว่าลูกตาทั้งสามก็ยังคงโจมตีผู้เล่นต่อไป
• เงื่อนไขการต่อสู้ : ไม่จำกัด
• ไอเท็มในการเรียก : กำจัด Lunatic Cultist และทำลาย Celestial Tower ทั้งสี่ลง, ใช้ Celestial Sigil และทำลาย Celestial Tower ทั้งสี่ลง
ด้วยการโจมตีที่หลากหลายและรุนแรงเป็นอย่างมาก ก็ขอแนะนำให้ผู้เล่นเตรียมของที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ให้พร้อมสรรพ การแบกของครึ่งๆ กลางๆ ไปปะทะกับ Moon Lord นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าทำแม้แต่น้อย
การจัดเตรียมพื้นที่ในการสู้กับ Moon Lord นั้นมีหลายรูปแบ ไม่ว่าจะใช้เป็นพื้นที่บนอากาศโล่งๆ และอาศัย UFO Mount ในการเอาเคลื่อนที่แทนปีก, การใช้ Asphalt Block ทำเป็นทางเดินยาวไปสุดแผนที่เผื่อวิ่งหนี, การสร้างรางรถไฟและใช้ Mechanical Cart ในการเคลื่อนที่, การทำห้องหลบภัยที่เน้นแลกความเสียหายกันไปตรงๆ, การใช้ Gravitation Potion ในการสลับทิศเพื่อหลบการโจมตีไปพลาง สู้ไปพลาง ทั้งนี้ขึ้นกับแนวการเล่นที่ผู้เล่นต้องการ แน่นอนว่าต้องมีการลองผิดลองถูกหลายรอบแน่นอนเพื่อที่จะเอาชนะบอสตัวสุดท้ายที่ยากที่สุดในเกมนี้ แต่ละคนย่อมมีแนวไม่เหมือนกันก็คงต้องลองกันดู การแพ้ Moon Lord นั้นจัดเป็นเรื่องปกติของทุกคน อย่าได้ยอมแพ้และไปกระทืบ Lunatic Cultist เพื่อสู้กับมันใหม่เถอะ! (ถามสุขภาพเจ้าลัทธิกันบ้างไหม?)
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เล่นต้องเตรียมนั้นคืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ปรับแต่งในการเอาตัวรอดมาให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการ reforge เครื่องประดับหรือการจูนอาวุธ เตรียมไอเท็มฟื้นพลัง รวมถึง Potion Buff ต่างๆ ให้พร้อม โดยเฉพาะใน Expert ที่พลังโจมตีของ Moon Lord เรียกได้ว่าแรงเป็นสองเท่ากันเป็นส่วนมาก สามารถบดขยี้ผู้เล่นได้ในพริบตาแม้จะเตรียมตัวมาแค่ไหนก็ตาม
ซ้ำร้าย ตัว Moon Lord นั้นยังมีการปล่อยลิ้นออกมาจากส่วนปากที่จะเข้าเลียผู้เล่นให้ติด Debuff ที่ทำให้ใช้อาวุธฟื้นพลังอย่าง Vampire Knife หรือ Specter Hood ไม่ได้อีกด้วย
• รูปแบบแรก เมื่อลูกตายังติดอยู่
ในรูปแบบแรกนี้ การโจมตีของ Moon Lord จะยังไม่ดุเดือดนัก แต่ก็ไม่ได้รุนแรงน้อยลงแต่อย่างใด กลับกันบางท่าจะแรงนรกแตกเสียด้วย
– ส่วนหัวนั้นเมื่อโจมตี จะกระพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะยิงลำแสงทำลายล้างกวาดลงมา ซึ่งรุนแรงได้ถึง 150 หน่วย (และ 300 ใน Expert!) แต่เลเซอร์นี้จะยังใช้ Block ป้องกันได้อยู่ หลังจากนั้นก็กระพริบตาอีกซักพักก่อนจะยิงกระสุนที่ทะลุ Block ได้ตามมา
– ส่วนแขนนั้นจะแยกออกจากกันและสร้างแถวของลูกบอลแสงออกมา ก่อนจะลอยมาชนผู้เล่นเพื่อสร้างความเสียหาย สามารถป้องกันด้วย Block ได้ และไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เกิน 30 องศาจากทิศใดทิศหนึ่ง
– สร้างลูกตาแสงออกมาจากมือที่จะพุ่งเข้าโจมตีผู้เล่น ลูกตานี้จะเล็งเข้าใส่ผู้เล่น แต่จะไม่สามารถเคลื่อนที่ในมุมสูงได้ และถูกป้องกันได้ด้วย Block ต่างๆ
– ส่วนแขนจะทำการยิงกระสุนแสงที่ทะลุ Block ต่างๆ ได้
– เมื่อส่วนแขนหรือหัวถูกทำลาย จะกลายเป็นช่องว่างที่เมื่อโดนจะสร้างความเสียหายให้กับผู้เล่นเพิ่มเติม และปลดปล่อย True Eye of Cthulhu ออกมา
– นอกจากนี้ส่วนปากที่ไม่สามารถทำลายได้จะมีการปล่อยลิ้นออกมาเกาะกับผู้เล่นเป็นระยะๆ หากลิ้นสัมผัสโดนผู้เล่น จะทำให้ติด Debuff ที่ทำให้การฟื้นพลังด้วย Vampire Knife, Specter Hood ถูกหยุดลงชั่วคราว พร้อมกับสร้างเซลล์ที่เป็นศัตรูออกมาจำนวนหนึ่ง เซลล์เหล่านี้จะลอยกลับไปหาตัว Moon Lord เพื่อฟื้นพลัง 1000 หน่วยให้กับส่วนที่ยังไม่ถูกทำลาย
การต่อสู้ในช่วงแรกนี้ ปกติแล้วจะแนะนำให้ผู้เล่นสร้างความเสียหายกับทุกส่วนให้เท่าเทียมกัน เพื่อให้ลำบากตอนสู้กับ Core ในช่วงที่สองน้อยลงมากที่สุด อย่างไรก็ดี ขึ้นกับแนวการต่อสู้ของผู้เล่น หากผู้เล่นมีปัญหากับส่วนไหนมากที่สุดมักจะต้องทำลายส่วนนั้นก่อน เช่นส่วนหัวที่มีลำแสงที่รุนแรงมากเป็นต้น แต่การปล่อยให้มีลูกตาลอยออกมาสองดวงในขณะที่ส่วนสุดท้ายยังมีเลือดสดใสสบายดีมักจบด้วยการโดนลูกตารุมยำจนเละเทะเสียก่อน
• ลูกตานรก True Eye of Cthulhu
ลูกตาเหล่านี้จะหลุดออกมาโจมตีผู้เล่นเช่นเดียวกับตอนที่ยังติดอยู่กับตัว Moon Lord แต่เพิ่มเติมคือ แต่ละดวงมี Cooldown การโจมตีแยกจากกันและใช้ท่าโจมตีได้เหมือนกันทั้งสี่ท่า
– ยิงลำแสงเลเซอร์ทำลายล้างอย่างรุนแรง (เบากว่าตอนอยู่ที่หัวเยอะ)
– สร้างลูกบอลแสง 6 ลูกรอบๆ ก่อนจะพุ่งมาโจมตี
– สร้างลูกตาแสงจำนวนมาก ก่อนจะพุ่งมาโจมตีผู้เล่น
– ยิงกระสุนแสงที่ทะลุ Block ต่างๆ ได้เข้าใส่ผู้เล่นโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกตาจะทำการโจมตี มันจะอยู่เฉยๆ ซักพักจนกว่าจะโจมตีเสร็จ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้หลบหนี ซึ่งเอาที่จริงก็อาจจะยากอยู่เพราะยิ่งสู้นาน จำนวนลูกตาจะเพิ่มจาก 1 2 เป็น 3 เมื่อ Core ของ Moon Lord ปรากฎให้โจมตี ทำให้มันจะมั่วซั่วกันได้สุดๆ ยิ่งกว่าที่คิด
*คำเตือน ระหว่างที่ Moon Lord กำลังตายนั้น ส่วนช่องลูกตาเดิมนั้นจะยังสร้างความเสียหายได้อยู่ และหากผู้เล่นทุกคนในเกมพลาดท่าเดี้ยงตอนนี้ ของจะไม่ Drop เลวมาก!!!*
ก็เป็นอันเรียบร้อยสำหรับ Boss หลักทั้งหมดใน Terraria ที่ผู้เล่นจะต้องเจอ เรียกกันได้ว่าตัวหลังๆ โดยเฉพาะ Duke Fishon และ Moon Lord นั้นเป็นบอสที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นใน Terraria เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการจำรูปแบบการโจมตี การควบคุมตัวละคร รวมถึงการใช้ความเป็น Sandbox ในการสร้างพื้นที่สนามรบให้ได้เปรียบหรือสู้ได้ง่ายขึ้น งานนี้ก็ต้องขอเอาใจช่วยผู้เล่นแต่ละคนล่ะจ้า ต่างคนต่างก็ชอบอาวุธกันไปคนละแบบ ดังนั้นคงฟันธงไม่ได้ว่าอะไรแจ่มสุดในสายตาแต่ละคน แต่ถ้าจะสู้กับตัวอะไร ก็หาของที่แจ่มที่สุดในตอนนั้นไปซัดกันนั่นแหละดีแล้ว