เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการ์ณที่ไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวสำหรับชาวเกมเมอร์ เนื่องจากตัวเกม Detroit: Become Human หรือเรียกสั้นๆ ว่า Detroit นั้นได้กลายเป็นกระแสและมีการพูดคุยกันอย่างล้นหลามเป็นอย่างมาก โดยในไทยเราเองก็มีคนพูดถึงเยอะสุดๆ เลยทีเดียว ซึ่งไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเราก็จะมารีวิวเกมนี้กันให้เพื่อน ได้ชมกันครับ
เกี่ยวกับ Detroit: Become Human
Detroit: Become Human เป็นเกมที่ถูกพัฒนาโดย Quantic Dream ซึ่งเป็นค่ายเกมจากฝรั่งเศษ ที่มีผลงานมาแล้วมากมายอาทิเช่น Heavy Rain และ Beyond: Two Souls ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นเกมแนวเนื้อเรื่องครับ ซึ่งเรียกได้ว่าพี่แกทำผลงานได้ดีทุกเกมเลยทีเดียว โดยเฉพาะเกมล่าสุดอย่าง Detroit นั้นต้องบอกเลยว่างานเค้าดีจริงๆ
เนื้อเรื่อง (ไม่สปอย)
Detroit: Become Human เป็นเกมที่จะมีพื้นเพของเรื่องอยู่ในอนาคต ซึ่งเป็นโลกที่คนและหุ่นยนต์อาศัยอยู่ร่วมกัน โดยการมีหุ่นยนต์เอาไว้ภายในครอบครองของโลกนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการมีรถเอาไว้สักคันหรือมีมือถือรุ่นเทพๆ เอาไว้ครอบครอง แต่ทว่าก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการมีหุ่นยนต์เช่นกัน เนื่องจากเหล่าหุ่นยนต์นั้นมีการแย่งงานมนุษย์ ทำให้พวกเค้าตกงาน
ในเนื้อเรื่องหลักๆ แล้วเราจะเล่นเป็นหุ่นยต์ 3 ตัว สลับกันไปมา แต่ละตัวก็จะอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกันไป และมีมุมมองต่อมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะขอแนะนำหุ่นยนต์แต่ละตัวคล่าวๆ ดังนี้
Corner – พนักงานสืบสวนที่ทำงานร่วมกับตำรวจ หน้าที่ของเค้าคือจัดการกับคดีต่างๆ หรือหุ่นยนต์ที่ละเมิดคำสั่งมนุษย์(ภายในเกมจะเรียกหุ่นพวกนี้ว่า Devian) บทบาทของ Corner จะเน้นไปที่การสิบคดีและต้องเลือกตัดสินใจสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน ซึ่งจะมีผลไปยัง Markus และ Kara ด้วย
Markus – หุ่นยนต์ที่ถูกดูแลโดยเศรษฐฐีซึ่งเป็นศิลปินชื่อดัง ที่ดูแลเค้าเหมือนลูกชายแท้ๆ คนนึง แต่ทว่าเค้าโดนเข้าใจผิดเลยและใส่ร้าย จึงโดนทิ้งแต่รอดตายมาได้ ในภายหลังด้วยแนวคิดที่แปลกกว่าหุ่นตัวอื่นๆ ของเค้าจึงได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งสำคัญของเหล่าหุ่นยนต์ บทบาทของ Makus นั้นจะส่งผลโดยตรงกับตัวละครที่เหลืออีก 2 ตัว
Kara – หุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็กที่เลือกจะช่วยเด็กผู้หญิงแทนที่จะฟังคำสั่งเจ้านาย บทบาทของ Kara จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ตัวอื่นเท่าไหร่ แต่ก็จะมีที่เชื่อมโยงกันบ้าง
แชร์ประสบการ์ณหลังจากการเล่น
ในตอนแรกสุดเลยผมก็ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเกมนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก จนตอนไปถึงร้านเกมแล้วโดนเชียร์มาจึงได้หยิบมาเล่นแบบบังเอิญมากๆ ซึ่งต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ได้ดูสปอยหรือไม่เคยได้อ่านเนื้อเรื่องของเกมมาก่อนเลย ก่อนที่จะหยิบเกมนี้ขึ้นมาเล่นในครั้งแรก แต่หลังจากที่ได้เล่นไปเพียงฉากเดียวก็แทบจะหยุดเล่นไม่ได้เลยครับ เนื่องจากเพียงแค่ฉากแรกของเกมก็จะบีบให้เราต้อง “เลือก” ตัวเลือกที่ส่งผลลัพธ์อันหนักหน่วงแล้ว

จุดที่ทำให้การเล่นเกมนี้สนุกมากคือตัวเกมจะกระตุ้นให้เราต้องสนใจตัวเกมอยู่ตลอดเวลา เพราะหากเราเผลอไปแปบเดียว บางทีอาจจะมีตัวเลือกอะไรโผล่มา หรือมี QTE ออกมาให้เรากดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว และพลาดเนื้อเรื่องส่วนสำคัญไปได้ อีกทั้งเนื้อเรื่องของหุ่นแต่ละตัวนั้นก็น่าติดตามมาก และมีอะไรให้ชวนคิดอยู่ตลอดเวลาที่เล่น ทำให้เราแทบจะละออกไปจากจอไม่ได้เลยทีเดียวครับ
หลังจากที่เล่นไปได้สักพักนึงผมได้ตกลงกับเพื่อนที่เล่นด้วยกัน ว่าเราจะบังคับกันคนละตัว ส่งผลให้ผมเล่นเป็น Corner และเพื่อนอีกคนเล่นเป็น Markus และ Kara ทอยหัวก้อยกันเอา ส่งผลให้ยิ่งอินกับเนื้อเรื่องของแต่ละตัวเข้าไปอีก และลุ้นมากๆ ว่าจะได้เจอกับเพื่อนอีกคนเมื่อไหร่ ซึ่งหากใครสนใจก็ลองเอาไปใช้ดูได้นะครับสนุกไปอีกแบบ
หลังจากที่เล่นไปได้ครึ่งเกมเราจะเกิดความสงสัยว่าทำไม ทำไม และก็ทำไม? เพราะปริศนาบางอย่างจะถูกซ่อนเอาไว้และใบ้เอาไว้ภายในเกมนั่นแหละครับ หรืออาจจะอยู่ในตัวเลือกที่เราไม่ได้เลือกตอบ ทำให้เกิดความคาใจอย่างสุดซึ้ง แต่เราก็ต้องทนกล้ำกลืนฝืนใจและเล่นต่อไปโดยทิ้งคำถามนั้นเอาไว้เบื้องหลัง และรอวันเล่นจบย้อนกลับมาเล่นใหม่!! เพราะเกมนี้หากเราเลือกผิดไปแม้แต่นิดเดียว จะส่งผลกับเนื้อเรื่องหลังจากนั้นไปเลย และตัวเลือกของเราอาจส่งผลให้ตัวละครบางตัวตายไปแบบถาวรเลยก็ได้ นับว่ามันเป็นอะไรที่บีบคั้นกันแบบสุดๆ เลยครับ
สุดท้ายแล้วหลังจากที่เล่นเกมจบ ก็จะมีฟิลลิ่งที่ทั้งทึ่งและก็คาใจ ถ้าหากเราเลือกคำตอบอีกแบบจะเป็นยังไง? ถ้าเรารอดในฉากนั้นจะเป็นแบบไหน อารมณ์ที่แบบว่าอยากจะกลับไปเล่นอีกที ณ ตอนนั้น (ถ้าไม่เหนื่อย) แต่กว่าจะเล่นจบก็ล่อไปแล้วกว่า 10 ชั่วโมง ขนาดรีบเล่นแล้วนะเนี่ย TT เรียกได้ว่าตอนจบเราจะรู้สึกอินกับตัวละครมากๆ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่เรามองในมุมของตัวละครและเลือกมันออกมาครับ (แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบผมนะ) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมพอใจกับฉากจบที่ตัวเองเลือกมาก และคิดว่าตัวเกมทำออกมาในส่วนนี้ได้ดีเลยทีเดียวครับสำหรับระบบการเลือกของเกม และที่สำคัญคือหลังเล่นจบเราสามารถเลือกย้อนไปลองเลือกตัวเลือกอื่นๆ ในฉากที่ผ่านมาแล้วได้ด้วยนะ
ระบบเด่นของเกม
เนื้อเรื่องที่เป็นไปตามที่เราเลือก : อย่างที่ผมบอกเอาไว้ที่หัวข้อบนๆ ภายในเกมนี้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเลือกจะส่งผลกับตัวเกมในภายหลัง ทางของเรา เนื้อเรื่องของเรานั่นเองครับ ซึ่งเกมนี้ก็ต้องบอกเอาไว้เลยว่ามีเนื้อเรื่องยิบย่อยและฉากจบเยอะเอามากๆ
QTE (Quick Time Event ) : ตัว QTE หรือมินิเกมยิบย่อยที่โผล่มาให้เรากดระหว่างเกมมีความลงตัวมากๆ หลายๆ ฉากในเกมหากเราเผลอล่ะก็เรียกได้ว่าชวดจุดสำคัญไปได้เลยครับ แถมตัวเกมนี้ทำตัว QTE มาได้ตื่นเต้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ของตัวละคร หรือ Event เล็กๆ น้อยๆ ภายในเกม
Flow Chard – หลังจากที่เราเล่นเกมจบในแต่ละฉาก เราจะสามารถดูสรุปผลการกระทำของเราได้ และถ้าหากว่าเรามี PlayStation+ เราจะดูผลการเลือกเทียบกับผู้เล่นอื่นๆ ทั่วโลกได้ด้วย ว่าคนอื่นๆ เค้าเลือกอะไรแบบไหน เพียงแต่น่าเสียดายว่าอายุ PlayStation+ ของผมหมดเลยดูไม่ได้ั่นเองครับ
การสแกนและการจำลอง : ขณะที่เราเล่นเกมสามารถกดปุ่ม R2 เพื่อสแกนหาวุตถุหรือสิ่งที่สำรวจได้ เรียกได้ว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ และตัวละครบางตัวอย่างเช่นมาร์ตัสหรือคอร์เนอร์เราจะสามารถที่จะใช้ระบบการจำลองเพื่อไขปริศนาในบางฉากได้ โดยการจำลองของคอร์เนอร์จะใช้ในการสืบสวน ส่วนของมาร์ตัสจะใช้หาทางหนีทีไล่เวลาที่วิ่งหนีจากศัตรู
เอาจริงๆ แต่สี่ข้อด้านบนนี่ก็เรียกได้ว่าสุดๆ แล้วครับโดยเฉพาะข้อ 1 ที่ต้องบอกเลยว่าผมไม่เคยเจอเกมไหนที่ทำทางแยกและเนื้อเรื่องออกมาได้ดีเท่านี้มาก่อนเลยครับ นอกจากนี้ตัวเกมยังมีอะไรยิบย่อยอีกเยอะ เช่นเมื่อเราเล่นจบจะเอาคะแนนจากการเล่นมาปลดล็อคสิ่งต่างๆ ในร้านค้าได้อาทิเช่นพวกภาพอาร์ตของเกม หรือปูมหลังของตัวละครบางตัวที่ไม่ได้บอกเอาไว้ในเรื่องหลักอะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
สรุป
Detroit: Become Human เป็นเกมที่เสนอเนื้อเรื่องออกมาได้น่าสนใจเอามากๆ ตัวเนื้อเรื่องมีความลึกแต่ก็เล่าออกมาให้เข้าใจได้ง่าย ผ่านมุมมองตัวละครสามตัว และให้เราไปคิดต่อยอดเอาเองในหลายๆ เรื่อง รวมถึงให้เราเป็นผู้ตัดสินใจเหตุการ์ณต่างๆ ของเรื่องราว ซึ่งถ้าหากว่าใครหวังว่าจะได้เล่นเกมบู๊แอคชั่นสะใจก็บอกเลยว่าไม่ใช่แน่นอนครับ แต่ถ้าหากใครมองหาเกมเนื้อเรื่องดีๆ สักเรื่องเกม Detroit: Become Human เป็นคำตอบที่ตอบโจทย์เอามากๆ เหมือนกับเราได้ดูซีรีย์ดีๆ สักเรื่องนึงเลยทีเดียวครับ เพียงแต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงฉากจบของเรื่องไปตามตัวเลือกที่เราต้องการได้ แค่ฟังก็น่าสนุกแล้วใช่ไหมล่ะครับ?