Borderlands 2
หลายๆ คนน่าจะชอบเกมแนว RPG ที่ตัวละครมีการเติบโต สามารถเพิ่มค่า Status ให้กับตัวละครได้หรือ Up Skill ต่างๆ ให้เก่งขึ้นได้ และโดยปกติเรามักจะเห็นเกม RPG ในแนวของเนื้อเรื่องและภาษาอย่าง Dragon Quest ไม่ก็แนว Hack and Slash อย่าง Diablo กัน แต่ในครั้งนี้เราจะได้เจอกับ RPG ในแบบ FPS ที่หาได้ค่อนข้างยากอยู่อย่าง Borderlands 2 และที่สำมะคัญคือการรองรับการเล่นแบบ Co-op กันได้เต็มที่
Steam : Borderlands 2
Review Borderlands 2
ตัว Borderlands 2 ก็เป็นผลงานต่อเนื่องจากภาคแรกของทาง Gearbox Software และ 2K ออกมาเป็นเกมแนว FPS RPG Co-op บนดาวที่ชื่อว่า Pandora ที่เต็มไปด้วยความบ้าบอ ป่าเถื่อน และของให้หามาใช้งาน ตัวเกมนั้นมีลักษณะเป็นเกมยิงแบบ FPS (มุมมองบุคคลที่หนึ่ง) ผสมกับแนว RPG ที่ผู้เล่นเก็บ Level และ Up Skill ของตัวละคร และระบบ Loot Table เหมือนในเกม Hack & Slash ที่เราต้องตีมอนหาของดีๆ มาใช้ได้อย่างลงตัว
ตัวเกมนั้นมีการพัฒนาจากภาค 1 ในหลายๆด้านอย่างเห็นได้ชัดมากจนถึงขนาดกวาดคะแนน review กันไปอย่างล้นหลามแม้ว่าจะมี bug หรืออะไรบางอย่างขัดใจอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็ไม่ได้ทำให้มูลค่าความแจ่มของตัวเกมลดลงเลย
บ้าบอไปกับเรื่องราวของชาว Pandora
เนื้อเรื่องและเควสใน Borderlands นั้นก็จะมีทั้งเนื้อเรื่องหลักที่เป็นแบบสีเทา มีตัวร้ายและตัวเอกที่ต่างก็ทำตามเป้าหมายของตัวเองโดยไม่สนใจอีกฝ่ายว่าจะเป็นอย่างไร และเนื้อเรื่องเสริมที่บางครั้งก็เฮฮา ไม่เกี่ยวอะไรเลย หรือบางครั้งก็เป็นเควสที่ต่อเนื่องมาจากเนื้อเรื่องหลักหลายๆ อารมณ์ปะปนกันมา ให้ผู้เล่นได้เข้าถึงชีวิตของผู้คนบน Pandora ที่มีวิธีและกระบวนการคิดที่ไม่เหมือนกับเรา และทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตของตัวเองกันเต็มที่
เนื้อเรื่องของตัวเกมนั้นก็จะเล่าถึงนักล่าสมบัติที่เข้าร่วมคำชวนของ Handsome Jack ในการตามล่าสมบัติ (Vault) แต่กลับถูกหักหลังมันตั้งแต่เกมยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ การล้างแค้นและช่วงชิง Vault มาเป็นของตัวเองจาก Jack ผู้มีทั้งอำนาจและกองทัพหุ่นยนต์หนุนหลังจึงเริ่มขึ้น
แม้พล๊อทจะดูงั้นๆ แต่ตัวเกมก็มีการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อุปนิสัยใจคอของตัวละครแต่ละตัวก็มีจุดเด่นของตัวเองไม่ซ้ำหรือเป็นแนวฮีโร่จ๋าจนเกินไป รวมถึงมุกที่คอยแทรกมาตลอดทำให้เราก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไอ้บ้าจ๋ามากกว่าร่ำไป เพราะอะไรๆ มันก็สามารถโยนไปอีกทิศหนึ่งได้เสมอจนได้คิดว่า อะไรจะเกิดก็เกิดเถอะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เละเทะจนรู้สึกว่าไม่น่าเสียเวลาตามต่อ
เก็บเลเวล ยิงมอน และฟาร์มของ
ตัวระบบการเล่นของเกมจะเป็นการผสม RPG Hack & Slash เข้ากับเกมแนว FPS ได้อย่างลงตัว ผู้เล่นจะมีความรู้สึกว่าได้ตามหาของมาใช้ ได้ลุ้นของที่หล่นมาว่าจะโอเคไหม ได้เลือก Skill หรือเก็บ Level ได้ทำ Quest และได้ยิงหัวศัตรูแบบเกม FPS กันครบไม่มีขาดตกกันเลย ตัวละครแต่ละตัวเองก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนไม่ซ้ำซากจำเจ อาวุธก็มีหลายแบบให้ได้เลือกใช้ให้เข้ากับแนวการเล่นหรือตัวละครแต่ละตัวที่ถนัดของแตกต่างกันไป
จุดที่ออกจะเป็นข้อด้อยก็คงจะเป็นตัวอาวุธที่ได้มาจะมีเลเวลของมันเองตามหลัก RPG ทำให้เมื่อเลเวลของเราและศัตรูสูงขึ้น เราจะถูกบังคับให้เปลี่ยนอาวุธชิ้นนั้นๆ เพราะมันเบาเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเลเวลสูงๆ ตัวเลขของพลังโจมตีจะโดดข้ามกันมาก และในระดับยากสุด (DLC) นั้น ก็จะมีการบีบบังคับให้ใช้ธาตุให้ตรงกับศัตรูเพื่อให้สู้ได้ง่ายขึ้น หรือจำกัดการ Build ตัวละครลงเหมือนกับเกมแนว Hack & Slash รุ่นพี่ตามๆ กันไป
คนเดียวหัวหาย สองคนช่วยกันตาย
ส่วนของการ co-op นั้น ตัวเกมก็ทำออกมาได้น่าสนใจ โดยใช้เป็นระบบ drop-in แบบอิสระเต็มที่รอบรับผู้เล่นได้สูงสุด 4 คน ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเกมกับคนอื่นได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรอตั้งห้องหรือเล่นใหม่ตั้งแต่แรก แต่สามารถทำเควสต่างๆ ไปพร้อมกันได้ โดยตัวเกมจะอ้างอิงเควสจากเจ้าของห้องเกมนั้นๆ เป็นหลัก
พร้อมกันนั้นตัวเกมจะเพิ่มความยากตามจำนวนผู้เล่นและไอเท็มที่ดรอปก็จะดีขึ้นตามกันไป หากเลเวลต่างกันมากก็จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบเพื่อป้องกันการเสียอรรถรสเวลาเล่น และหากผู้เล่นออกจากเกม ตัวเกมก็จะปรับความยากกลับในทันทีพร้อมกับบันทึกเควสที่ผ่านไปแล้วให้ด้วย
แน่นอนว่าเมื่อตัวเกมเปิดให้เข้าออกได้อย่างอิสระเช่นนี้ การจะเล่นร่วมกับเพื่อนเพื่อรุมฆ่าบอส หรือจะแยกกันช่วยกันฟาร์มของและมาแลกเปลี่ยนกันทีหลังก็ทำได้อย่างอิสระเลยทีเดียว รวมถึงการแย่งของกันเองด้วย มุฮ่า
D-L-C
เป็นจุดหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเกมนี้จริงๆ เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนที่เป็นระบบการเล่นอย่างการปลดล๊อค Level สูงสุดและความยากระดับสูงสุดนั้น จำเป็นจะต้องซื้อ DLC มาเสียก่อน (เห่อ) แต่ตัว DLC ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องแยกต่างหากนั้น ก็ทำมาได้ดีมากและคุ้มค่าสำหรับการซื้อมาเล่นไม่น้อย ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มไอเท็มให้ได้ล่าแล้ว ตัวเนื้อเรื่องของ DLC ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและเก็บรายละเอียดต่างๆ ให้สามารถพูดได้ว่าไม่ได้เผาส่งๆ มาขายให้รู้สึกเสียดายเงินซื้อมาเลย
สรุปการ Review Borderlands 2
จัดว่าเป็นเกมที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคอ RPG และ FPS ตัวเกมนั้นมีการแทรกมุกเป็นระยะๆ ให้เราได้เปลี่ยนบรรยากาศอยู่ตลอดเวลาประกอบกับความเป็นกลางของตัวละครต่างๆ ที่เราไม่อาจจะบอกได้ว่าผิด หรือถูกอย่างแน่นอน แผนที่และรายละเอียดต่างๆ ที่ถูกทำมาอย่างเอาใจใส่ทำให้ผู้เล่นสามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นโลกใบหนึ่งของเกมได้ดี
ถ้าใครสนใจเกมแนวนี้ ลังเลว่าจะสอยดีไหม หมาก็ขอแนะนำว่าถ้ามันลดอยู่ก็สอยเถอะ ไม่ผิดหวังจริงๆ ตัวเกมสามารถเล่นได้ค่อนข้างนาน และสามารถเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ รับรองว่าคุ้มค่าเกินราคาแน่นอนแม้จะไม่ถอย DLC เสริมก็ตาม (ตัว DLC ก็คุ้มจริงๆ ถ้าสนใจจริงๆ แนะนำ version Game of the Year ไปเลยจ้า)
▲ จุดเด่น
– มีการพัฒนาจากภาค 1 ค่อนข้างมาก
– เนื้อเรื่องของเกมและ NPC ทำออกมาได้ดี มีบุลลิคและนิสัยแตกต่างกันชัดเจน ไม่ไปในทางเดียวกันทั้งก๊ก
– ระบบการเล่นแบบ FPS RPG ที่เหมาะกับคนชอบเล่น Hack & Slash
– เล่นคนเดียวก็ได้ เล่นหลายคนก็ดี
– มี Side Quest ให้ทำมากมายประกอบกับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้ผู้เล่นไม่ถูกจำกัดจนเกินไปในการเล่น
– DLC ทำมาได้ดีและเป็นตัวเสริมจริงๆ ไม่ใช่ตัดเนื้อหาหลักไปลง DLC
– CO-OP!!!
▼ จุดด้อย
– ตัวเกมค่อนข้างเหมาะกับผู้เล่นที่เล่นแบบบ้าพลัง จากการที่ต้องปั่นหาอาวุธในระดับการเล่นที่ยากขึ้น (ไม่จำเป็นในระดับเริ่มต้น)
– การโจมตีระยะประชิดของผู้เล่นที่ด้อยกว่าศัตรูมาก
– ศัตรูในระดับสูงๆ นั้นถึกมาก รวมกับปืนที่ถ้าเลเวลต่ำกว่าจะทำความเสียหายได้ช้าลง ทำให้การฟาร์มปืนเหนื่อยเอาการมาก
– ระบบการต่อสู้กับ Raid Boss ทำได้ไม่ดี แม้จะมีเทคนิคการสู้ แต่ก็เป็นลักษณะอึดมากและอัดแรงมากจนต้องใช้วิธีดูดเลือดมากกว่าการหลบเหมือนเกม action อื่นๆ
– ในระดับที่ยากขึ้น การที่ศัตรูติดสถานะผิดปกติแทบจะไม่ช่วยอะไรมาก แต่สำหรับผู้เล่นมันเลวร้ายมาก