ถ้าให้ว่ากันตามตรงแล้วเกมที่ถูกจั่วหัวว่าเป็นเกมอินดี้นั้นค่อนข้างจะเป็นเกมเฉพาะกลุ่มซึ่ง YIIK: A Postmodern RPG ก็เช่นกันครับ แค่ชื่อเกมก็บอกชัดเจนเลยว่าเกมนี้นั้นเป็นเกมแนว RPG ส่วนคำว่า Postmodern ก็คือยุคสมัยหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็ประมาณช่วงปลายของปี ค.ศ. 1980-1990 ซึ่งเป็นธีมของเกมนี้ถูกตั้งไว้ครับ
“อาห์…คิดถึงยุค 90 ชะมัด”
เนื้อเรื่องสุดเยี่ยม
ในบ่ายของวันที่ 4 เมษายน ปี 1999 หญิงสาวนามว่า Sammy Pak ได้หายตัวไปจากลิฟท์ ในคืนนั้นเองได้มีวิดีโอในช่วงสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายตัวไปถูกอัปโหลดขึ้นลงบนเว็บไซต์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดปกติอย่างมาก Alex ชายหนุ่มเพียงคนเดียวได้นำพรรคพวกของเขาออกตามหาเธอ ใครจะรู้ล่ะว่าอะไรจะรอคอยพวกเขาอยู่… นี่คือเนื้อเรื่องที่หน้าร้านค้าและหน้าเว็บไซต์ของตัวเกมได้บอกไว้ ซึ่งอาจจะยังไม่ดึงดูดพอ ดังนั้นเดี๋ยวจะอธิบายเพิ่มให้ซักเล็กน้อยเพื่อเป็นทางเลือกให้เพื่อนๆ ได้ตัดสินใจได้มากขึ้นครับ
เราจะรับบทเป็น Alex ที่อยู่ดีๆ ได้เข้าไปยังโรงงานร้างแห่งหนึ่งเนื่องจากมีแมวปริศนาได้แย่งเอาโน๊ตจดของที่ต้องซื้อที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ไป ซึ่งก็ทำเขาได้พบกับหญิงสาวนามว่า Sammy ที่ไปอยู่ในโรงงานร้างได้ยังไงก็ไม่รู้ และพบอะไรแปลกๆ มากมายในโรงงานร้างแห่งนั้น ในขณะที่เขาอยู่ในลิฟต์กับ Sammy ก็มีอะไรบางอย่างฉุดเธอออกจากลิฟต์ไป…เนื้อเรื่องของเกมจะเล่นกับสิ่งลี้ลับ และค่อนข้างจะหลอนๆ ซักเล็กน้อยครับ แต่ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวขนาดทำให้ต้องเกิดอาการตกใจเป็นพิเศษ อีกทั้งเราเดาไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราต่อไป คือมันเดายากมากครับ บางทีสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมาซะอย่างนั้นเลย อีกทั้งด้วยความที่เล่นกับอะไรพิศวงขนาดนี้มันเลยเกินขอบเขตที่จะเดาได้จากสามัญสำนึกของคนปกติมากครับ…ฮา
เกมเพลย์แบบต้นตำหรับ
ใช่ครับเมื่อทางผู้สร้างเน้นมาขนาดนี้รูปแบบการเล่นมันจึงเป็น Turn base RPG แต่ที่พิเศษคือมันมีลูกเล่นให้เราเล่นตอนสั่งโจมตีหรือหลบการโจมตีด้วย การโจมตีของตัวละครแต่ละตัวก็จะมีลูกเล่นที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นพ่อหนุ่มเสื้อลายดำแดง Michale ของเรานั้นเมื่อทำการโจมตีจะใช้อาวุธเป็นกล้องตัวเกมก็จะกางม้วนฟิล์มออกมาให้เรากดปุ่มที่กำหนดให้ตรงกับช่อง ยิ่งกดได้โดนเยอะ ยิ่งทำให้โจมตีได้หลายครั้ง ส่งผลให้ทำดาเมจใส่ศัตรูได้เยอะขึ้น หากพลาดก็จะเป็นการจบช่วงของการโจมตีไปเลย
วิธีการเล่นก็เหมือนกับเกม RPG ทั่วไปที่เนื้อเรื่องเดินทางเป็นเส้นตรง คุณจะต้องเล่นตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ระหว่างทางก็จะมีกล่องสมบัติให้เก็บ มีจุดเซฟ มีที่ฟื้นพลังชีวิต มีปริศนาต่างๆ ให้เราได้แก้เพื่อที่จะไปต่อ หรือเอาไอเทมที่อยู่ในจุดพิสดาร
นอกจากนี้ยังมี world map ที่กว้างให้เราได้สำรวจ ซึ่งทางผู้พัฒนาได้บอกไว้ว่าสามารถเล่นได้ถึง 30 ชั่วโมงรวมเนื้อเรื่องหลักและ side-quest ถือว่ากำลังพอเหมาะพอเจาะกับเกมแนวนี้
เมื่อเล่นถึงช่วงนึง ระบบจะทำการเปิดดันเจี้ยนที่เรียกว่า Dungeon of the mind เป็นสถานที่ที่ใช้ในการอัพเกรดสเตตัสให้กับตัวละครของเรานั่นเอง ซึ่งมันจะแหวกแนวมาก เนื่องจากมันเป็นการฝึกภายในจิตใจตามชื่อสถานที่เลย เมื่อเราเก็บ EXP ถึงตามที่กำหนดจากแผนที่ด้านนอก เราจะสามารถไปยังชั้นถัดไป หรือก็คือเลเวลอัพนั่นเอง ซึ่งเราจะสามารถเลือกโบนัสต่างๆ เองได้ซึ่งแต้มที่อยู่หน้าประตูก็คือแต้มที่เรามีและสามารถเอาไปลงกับสเตตัสต่างๆก็ตัดสินใจกันให้ดีล่ะ
ระบบการพัฒนาตัวละครเป็นแบบเกมยุคก่อน ต่อสู้กับศัตรูเพื่อรับค่าประสบการณ์ เงิน และไอเทม จากนั้นก็นำเงินไปซื้ออุปกรณ์ที่ดีกว่า เพื่อที่จะโจมตีได้แรงขึ้น ในการต่อสู้บางครั้งนั้นจะต้องทำตามเงื่อนไข พูดง่ายๆ ก็คือจะต้องอาศัยไหวพริบของตัวคุณเองเพื่อที่จะผ่านจุดจุดนั้นไปได้ครับ
ตัวเกมไม่มีระบบ tutorial แนะนำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากระบบ hint ที่จะคอยแนะนำเราคร่าวๆ ว่าเราควรไปที่ไหนต่อ เป็นเหมือน objective ที่เราต้องทำในเกมอะไรทำนองนั้น และจะมีพวกป้ายต่างๆ ที่คอยสอนว่าสามารถทำแบบนี้ๆ ได้นะในระหว่างทาง ดังนั้นหากคุณเดินข้ามไปไม่อ่านอะไรเลย คุณก็จะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยนะ
กราฟฟิคย้อนยุค
หากใครอยากเห็นกราฟฟิคเทพๆ เกมนี้ไม่มีให้เพราะกราฟฟิคของเกมนี้นั้นทางผู้พัฒนาได้ทำออกมาเสมือนว่าเกมมันอยู่ในช่วงยุค PS1 เลยล่ะ ทำให้เราได้รับบรรยากาศของยุค 90 เต็มที่เลย ซึ่งภาพที่ออกมามันก็ไม่น่าเกลียดนะ ผมค่อนข้างชอบ เพราะมันเหมาะกับบรรยากาศยุค 90 ดีครับ โทนสีแต่ละสถานที่ก็จะทำออกมาให้แตกต่างกัน ทำให้ผู้เล่นรู้สึกอินกับฉากนั้นๆ พอสมควร
เพลงประกอบสุดเทพ
เพลงประกอบของเกมนี้ขอบอกคำเดียวว่า โคตรเทพ และมีคุณภาพมากๆ ผู้พัฒนาได้ทุ่มเทในส่วนนี้เป็นอย่างมาก และผลที่ออกมามันดีเยี่ยมครับ เพลงทุกเพลงทำให้เข้ากับบรรยากาศที่เจอ หากคุณเป็นคนชอบฟังเพลงประกอบ เกมนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
จุดเด่นของเกมนี้
• เนื้อเรื่องแหวกแนวน่าติดตาม
• ความคลาสสิคของตัวเกมและธีมของเกมทำให้เราเหมือนได้ย้อนวันวาน
• ปริศนาที่ไม่ยากจนเกินไป
• ระบบการต่อสู้ที่ไม่ใช่แค่กดคำสั่งแล้วจบ แต่จะมี QTE ให้เราได้เล่นแก้เบื่อ
• เพลงประกอบเทพ
• เป็นเกมเนื้อเรื่องที่เน้นอ่านเพื่อที่จะทำให้เราผ่านต่อไปได้
• รองรับทั้งคีย์บอร์ดคอนโทรเลอร์
จุดด้อยของเกมนี้
• เป็นเกมที่ขายวัฒนธรรมจากฝั่งตะวันตกช่วงปี 90 ดังนั้นประเทศไทยอย่างเราอาจจะไม่อิน
• QTE ที่ต้องกดทุกครั้ง บางทีก็สร้างความน่ารำคาญ
• การควบคุมของคีย์บอร์ดในด้านทิศทางจะไม่ดีเท่าคอนโทรเลอร์
• ในบางครั้งมุมกล้องเปลี่ยนไปๆ มาๆ ทำให้เวียนหัว
• หากอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือได้น้อยมากจะทำให้เล่นเกมนี้ได้ยาก