วันเสาร์, เมษายน 19, 2025
หน้าแรกPC GuideTerraria วิธีการรับมือกับบอสต่างๆ ก่อน Hardmode

Terraria วิธีการรับมือกับบอสต่างๆ ก่อน Hardmode

ใน Terraria นั้น บอสจัดว่าเป็นสีสรรหลักของเกมเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ตัวเกมเป็น Action แบบ 2D นั้น การสู้กับบอสจะให้กดยืนตีเฉยๆ ก็ไม่ใช่แน่ๆ ดังนั้นบอสแต่ละตัวนั้นก็จะมีลูกเล่นที่ทำให้มือใหม่เอ๋กันได้ทั้งนั้น สำหรับในครั้งนี้ก็จะมาแนะนำวิธีการสู้กับบอสในช่วงก่อน Hardmode กัน แน่นอนว่ามีทั้งแบบ Normal และ Expert เลย

Terraria VS Boss ก่อน Hardmode

ในช่วงก่อน Hardmode นั้น บอสที่เราจะได้เจอจะมีทั้งหมด 4 ตัว ประกอบไปด้วย Eye of Cthulhu, Eater of the World / Brain of Cthulhu , Skeletron, Wall of Fresh รวมกับ Mini boss อีก 2 ตัวที่มีเจ้า King Slime และ Queen Bee มาช่วยสบทบ ซึ่งก็จะขอไล่ไปตามลำดับการเจอกันตามขั้นตอนในเกมกันเลยละกัน ถึงแม้ว่าผู้เล่นจะสามารถข้ามขั้นได้ก็ตาม แฮ่

ก่อนอื่น ผู้เล่นต้องทราบไว้ก่อนว่า บอสใน Terraria นั้นส่วนมากจะมีระยะเวลาจำกัดเป็นตอนกลางคืน หากกำจัดไม่ทันในช่วงคืนนั้น มันก็จะหนีไป รวมถึงหากผู้เล่นทุกคนในรัศมีของบอสตายลงและเกิดมาหามันใหม่ไม่ทัน มันก็จะหนีไปเช่นเดียวกัน ซึ่งก็จะยกเว้นบอสบางตัวที่ไม่จำกัดเวลาในการต่อสู้ แต่เงื่อนไขตายหมดแล้วเผ่นยังมีอยู่เช่นเคย

ผู้เล่นจะต้องทำใจอย่างหนึ่งว่า ช่วงแรกของเกมนั้น อาวุธระยะประชิดจะมีประโยชน์ในการโจมตีมอนสเตอร์ทั่วไปมากกว่า แต่สำหรับบอสแล้ว มันคือการหาเรื่องให้บอสกระทืบตายชัดๆ


Eye of Cthulhu

You feel an evil presence watching you…

บอสตัวแรกสุดของเกมที่ผู้เล่นจะได้เจอ และง่ายที่สุดเช่นกัน ตัวมันนั้นมีเงื่อนไขที่จะมีโอกาสปรากฎตัวในทุกๆ คืนเล็กน้อย หากมีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมีพลังชีวิตถึง 200 หน่วย, มีพลังป้องกันมากกว่า 10 และมี NPC รวมกันทั้งสิ้น 3 คนขึ้นไป พร้อมกับ Eye of Cthulhu ยังไม่ตาย

ตัวบอสนั้นแบ่งเป็นสองร่าง โดยร่างแรกนั้นจะเป็นลูกตาขนาดใหญ่ โจมตีด้วยการบินชนผู้เล่นช้าๆ 2-3 ครั้ง ก่อนจะลอยตัวเหนือผู้เล่นและปล่อยลูกสมุนลูกตาขนาดเล็กออกมา และวนกลับไปบินชนอีกครั้ง

เมื่อพลังชีวิตเหลือน้อยกว่า 50% (หรือ 65% สำหรับ Expert) บอสจะกลายเป็นร่างสอง โดยเปลี่ยนจากตาดำเป็นปากขนาดใหญ่แทน ซึ่งในร่างนี้ บอสจะทำการโจมตีวิธีเดียว นั่นคือการพุ่งชนเป็นจังหวะ 3 ครั้ง ก่อนจะพัก และพุ่งชนใหม่วนไปเรื่อยๆ ซึ่งใน Expert นั้น การพุ่งชนของบอสจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ และมีระยะเวลาพักสั้นลงเรื่อยๆ ตามพลังชีวิตของบอส ยิ่งน้อยก็ยิ่งรัวเป็นปืนกลเลยทีเดียว

• เงื่อนไขการต่อสู้ : เวลากลางคืนเท่านั้น, ไม่ได้อยู่ใต้ดิน
• ไอเท็มในการเรียก : Suspicious Looking Eye

– How to Fight –

วิธีการสู้ใน Normal นั้นไม่ยากเท่าไหร่ โดยหากผู้เล่นผ่านเงื่อนไขที่กำหนด มีเลือดและพลังป้องกันตามที่ระบุไว้เบื้องต้น ก็จะสู้ชนะได้ไม่ยากเท่าไหร่เลยก็ว่าได้ อาวุธที่แนะนำนั้นก็จะมีในส่วนของ Shuriken ที่หาซื้อได้ง่าย และ Grenade ที่ทำความเสียหายได้มากในช่วงต้นเกมนั่นเอง

การจัดเตรียมพื้นที่ก่อนสู้เล็กน้อยนั้นก็จะช่วยให้สามารถสู้ได้ง่ายขึ้นมาก ซึ่งลานต่อสู้ที่แนะนำก็จะเป็นพื้นที่โล่งๆ และมีการวาง Wood Platform เสริมตามความสูงในการกระโดดอีก 1-3 ชั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการหลบ ก็เพียงพอสุดๆแล้ว

• ร่างแรก

ในร่างแรกนั้นผู้เล่นสามารถใช้ Shurikens ไล่ปาใส่บอสได้โดนไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งจังหวะที่บอสลอยตัวเพื่อปล่อยสมุนลูกตานั้นจะเป็นช่วงที่เหมาะแก่การปารัวๆ มาก เพราะดาวกระจายจะทะลุตัวลูกและตัวบอสก่อนจะร่วงลงมาทำความเสียหายซ้ำอย่างต่อเนื่อง หากจะใช้ระเบิดนั้น ควรเป็นช่วงที่บอสพยายามบินไล่ชนเรา ซึ่งเราจะกะระยะได้ดีกว่าและเสี่ยงโดนระเบิดซะเองเพราะติดลูกสมุนน้อยกว่ามาก

ส่วนใน Expert นั้นแนะนำให้ใช้ Shuriken ก็เพียงพอแล้วเนื่องจากบอสจะปล่อยลูกเยอะกว่ามาก โอกาสโดนระเบิดตัวเองตายจะสูงกว่า

• ร่างสอง

ในร่างที่สองนั้น ผู้เล่นจะต้องหาจังหวะหลบการพุ่งชนของบอสให้ได้เพื่อยื้อเวลาจนฆ่ามันได้ก่อนจะเสียเลือดมากเกินไปและตายซะเอง เนื่องจากบอสจะพุ่งเป็นเส้นตรงจากจุดที่บอสอยู่มายังตัวผู้เล่น การมี Wood Platform จะช่วยให้ผู้เล่นมีพื้นที่ในการหลบได้มากขึ้น และหากผู้เล่นโชคดีมี Cloud in the Bottle หรือ Hook จะทำให้การต่อสู้นี้ง่ายขึ้นแบบสุดๆ เลยทีเดียว การโจมตีนั้น ในช่วงที่บอสยังไม่พุ่งใส่ สามารถใช้ระเบิดปาใส่ได้เลย แต่ควรหยุดปาทันทีเมื่อบอสพุ่งใส่

ในด้าน Expert นั้น บอสจะพุ่งอย่างรวดเร็วมาก เรียกได้ว่าจังหวะพุ่งนั้นแทบไม่มีโอกาสหลบได้เลย แต่ก็จะเลี่ยงได้ด้วยการวิ่งดักในบางครั้ง ทำให้ผู้เล่นมักจะเน้นชาร์จพลังป้องกัน, เลือดให้หนาๆ กดยา Iron Skin แล้วเอา Shuriken ปาแลกกันเสียมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเลือดของบอสเหลือน้อยกว่า 1000 นั้น จะพุ่งได้พุ่งดียิ่งกว่าลูกหมาตอนกำลังคึกๆ เสียอีก การหลบจึงมีลักษณะเป็นการโดดหรือวิ่งดักทางให้บอสพุ่งผิดทางและรีบหลบไปอีกด้านหนึ่งให้บอสเสียจังหวะพุ่งฟรีอีกครั้งสองครั้ง ถ่วงเวลากันไปนั่นเอง

*หากผู้เล่นมีพื้นดินโล่งๆ เป็นทางยาว สามารถใช้วิธีวิ่งไปตามพื้นและปาระเบิดทิ้งไว้เรื่อยๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเล็ง เนื่องจากบอสจะวิ่งไล่ตามหลังมาเสมอ แต่ในกรณีของ Expert นั้นจะทำไม่ได้เพราะมันพุ่งเร็วมากและทะลุตัวเราไปเลย*


Eater of Worlds

A horrible chill runs down your spine…
Screams echo around you…

บอสตัวที่สอง และเป็นบอสเฉพาะของ World ที่มีลักษณะเป็น Corruption เท่านั้น (แต่สามารถนำไอเท็มไปสร้างพื้นที่และเรียกใน Crimson ได้เช่นกัน) โดยตัวบอสนั้นมีลักษณะเป็นหนอนขนาดใหญ่(มาก) ซึ่งประกอบจากหนอนตัวเล็กๆ ต่อกันเป็นตัวยาว หากทำลายส่วนไหนได้จะแตกออกจากกัน เมื่อกำจัดส่วนปล้องได้ครบทั้ง 48 ท่อนก็จะสามารถฆ่ามันได้ในที่สุด เป็นบอสที่ต้องมีการเลือกชนิดของอาวุธซักหน่อยเพื่อให้ฆ่าได้อย่างรวดเร็ว

Eater of Worlds นั้นจะปรากฎตัวออกมาเมื่อผู้เล่นทำการใช้ค้อนทุบ Shadow Orb ที่อยู่ในพื้นที่ลึกลงไปของ Corruption ครบทุกๆ 3 ลูก

• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ในพื้นที่ Corruption หรือ Crimson
• ไอเท็มในการเรียก : Worm Food

– How to Fight –

Eater of Worlds นั้นไม่จำกัดเวลาการต่อสู้ แต่จำกัดพื้นที่ให้สู้ภายในอาณาเขต Corruption เท่านั้น ทำให้ผู้เล่นสามารถเตรียมการและมีเวลาสู้มากกว่า แต่ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่อันตราย มีศัตรูชุม ทำให้อาจจะเตรียมลานต่อสู้ได้ลำบาก ประกอบกับตัวพื้นที่มีเหวมากมายที่ส่งผลให้ถึงตายได้ง่ายๆ อีกด้วย การวาง Wood Platform กั้นเหวไว้จึงช่วยให้สู้ได้ง่ายขึ้นมาก

การโจมตีของบอสนั้นจะไม่มีอะไรนอกจากอาศัยตัวยาวในการพุ่งชนและใช้ลำตัวของมันบีบพื้นที่หลบให้เราโดนอัดเรื่อยๆ นั่นเอง แต่เมื่ออยู่ในระดับ Expert แล้ว แต่ละปล้องของมันจะยิงกระสุนกรดใส่ผู้เล่นได้ด้วย ซึ่งอันตรายกว่าเดิมเป็นอย่างมาก กระสุนนี้สามารถถูกทำลายทิ้งได้และเคลื่อนที่ช้าพอประมาณ

• หนอนมันก็มีจุดให้กระทืบเป็นปล้องๆ

จุดที่เด่นที่สุดของ Eater of Worlds ที่ทำให้หลายคนบอกว่าเป็นบอสที่ง่ายที่สุดเมื่อเตรียมตัวพร้อมในระดับใกล้ๆ กับบอสนั่นคือ การที่ตัวบอสนั้นแยกเลือดของมันเป็นส่วนๆ ปล้องๆ เมื่อตายก็จะแตกตัวออกและมุดดินหนีไป ด้วยเหตุนี้ทำให้อาวุธที่โจมตีทะลุทะลวง หรือโจมตีเป็นกลุ่มพร้อมกันได้อย่าง Grenade, Holy Arrow, Jester Arrow, Vile Thorn, Crimson Rod นั้นมีประสิทธิภาพในการสร้างความเสียหายแบบทวีคูณหลายเท่าให้กับบอสได้เป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าแพ้ทางกันสุดๆ เลยทีเดียว

โดยเฉพาะหากผู้เล่นมี Vile Thorn นั้น การต่อสู้กับ Eater of Worlds ใน Normal นั้นจะง่ายกว่าสู้กับ Eye of Cthulhu เสียอีก แต่ใน Expert นั้นพลังป้องกันที่มากขึ้นทำให้อาวุธนี้ด้อยลงไปเป็นอย่างมากทันที และมันจะป้องกันความเสียหายจากระเบิดถึง 80% บีบให้ผู้เล่นต้องใช้อาวุธอื่นอย่าง Jester Arrow, Holy Arrow แทน


Brain of Cthulhu

A horrible chill runs down your spine…
Screams echo around you…

บอสตัวที่สามนี้จะเป็นบอสเฉพาะของใน World ที่มีลักษณะเป็น Crimson เท่านั้น โดยตัวมันก็เป็นอย่างชื่อ นั่นคือมีลักษณะเป็นสมองขนาดใหญ่ ที่มีวิธีการโจมตีที่ค่อนข้างกวนประสาทและดูยุ่งยาก แต่เมื่อจับทางได้แล้วจะง่ายมากเลยทีเดียว ตัวบอสนั้นจะมีการแบ่งเป็นสองช่วง ในช่วงแรกนั้นบอสจะหายตัวให้เห็นจางๆ และส่งลูกตาจำนวนมากที่เรียกว่า Creeper มาโจมตีผู้เล่น ระหว่างนั้นบอสจะเทเลพอร์ทไปรอบๆ เป็นระยะๆ โดยที่ลูกตาจะคอยบินตามบอสและบินมาโจมตีผู้เล่น

เมื่อลูกตาถูกทำลายหมอจะเข้าสู่ช่วงที่สอง ในช่วงนี้บอสจะเทลเพอร์ทถี่ขึ้นมา และพยายามพุ่งเข้ามาโจมตีผู้เล่นจากทิศทะแยงมุมทั้ง 4 ทิศ แต่หากผู้เล่นหันไปโจมตีทัน ก็จะทำให้บอสชะงักและเปิดโอกาสให้โจมตีได้เรื่อยๆ จนกว่ามันจะเทเลพอร์ทหนีไปใหม่ เรียกได้ว่าในช่วงที่สองนี้ง่ายมากกว่าช่วงแรกเยอะเลยทีเดียว แต่ทว่าใน Expert นั้นมันจะมีร่างแยกรางๆ มาหลอกล่อผู้เล่นให้สับสนด้วย โดยที่เมื่อเลือดน้อยลง ร่างปลอมก็จะมีสีที่ชัดมากขึ้นให้สับสนง่ายขึ้นตามไป

Brain of Cthulhu นั้นจะปรากฎตัวออกมาเมื่อผู้เล่นทำการใช้ค้อนทุบ Crimson Heart ที่อยู่ในพื้นที่ลึกลงไปของ Crimson ครบทุกๆ 3 ดวง

• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ในพื้นที่ Crimson หรือ Corruption
• ไอเท็มในการเรียก : Bloody Spine

– How to Fight –

การสู้กับบอสนั้น หลักๆ จะอยู่ที่การวาง Wood Platform ในห้องโถงของส่วนใต้ดิน Crimson ให้มีพื้นที่มากพอที่ผู้เล่นจะวิ่งไปมาหลบได้อย่างสบายๆ ซึ่งจัดเป็นจุดที่จำเป็นมาก เพราะบอสมีลักษณะการโจมตีที่เทเลพอร์ทไปมาเสมอ บางครั้งโผล่ไปหลังกำแพง ทำให้เราไม่สามารถโจมตีโต้ตอบได้ และด้วยลักษณะนี้ทำให้อาวุธระยะประชิดไม่เหมาะในการต่อสู้กับบอสพอสมควร ผู้เล่นควรเตรียมธนูหรือปืนมาให้พร้อมด้วยจะดีกว่า

• Phase 1 : Creeper Festival

ในช่วงแรกนั้น Creeper จะเป็นตัวอันตรายที่สุด เนื่องจากปริมาณที่มาก แม้ว่าพวกมันจะกำจัดได้ง่ายและดรอปเลือดมาให้เรา แต่จำนวนที่เยอะและการเคลื่อนที่ไปมาของบอส ทำให้พวกมันสามารถผ่าด่านกระสุนเข้ามาโจมตีเราได้โดยง่าย อาวุธที่โจมตีเป็นกลุ่มหรือทะลุได้นั้นก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Jester Arrow หรือ Meteor Shot รวมถึง Vile Thorn (เฉพาะ Normal)

ที่น่ากลัวคือ เมื่อเป็น Expert นั้น Creeper จะดุกว่าเดิมมาก และเมื่อโจมตีโดนผู้เล่นจะทำให้สุ่มติด Debuff หลายอย่างได้ และก็เป็นอันตรายอย่างรุนแรงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะลดพลังป้องกัน ลดความเร็วอย่างมาก สับสนทิศทาง ทำให้การพลาดครั้งเดียวอาจจะส่งผลต่อเนื่องจนตายได้ง่ายๆ

• Phase 2 : Mastermind

ในช่วงที่สองนั้น ให้สลับเป็นอาวุธระยะไกลที่โจมตีได้อย่างต่อเนื่องจะดีกว่าการโจมตีแรงๆ ทีเดียวอย่างระเบิด เนื่องจากแม้จะเป็นบอส แต่กลับสามารถชะงักได้ และมีค่าชะงักที่ต่ำมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดที่เกมทำมาให้สู้กับตัวบอสได้ ผู้เล่นเพียงแค่ใจเย็นลงและยืนรอบอสเทเลพอร์ทไปยังทิศต่างๆ เท่านั้น และหันไปยิงพร้อมกับค่อยๆ เดินหนีบอสช้าๆ วนไปเรื่อยๆ จนมันตายเท่านั้นเอง

แต่เมื่อเป็น Expert Mode นั้น บอสจะเทเลพอร์ทหนีถี่ขึ้น และมีร่างปลอมออกมาหลอกล่อ หากยิงร่างจริงไม่ทันก็อาจจะโดนมันชนให้เจ็บตัวแรงๆ ได้อยู่ ซึ่งผู้เล่นก็ใช้ทริคเดียวกันได้เป๊ะๆ เลย เนื่องจากเมื่อยิงโดนร่างจริงนั้น บอสก็จะชะงักตามปกติ และการค่อยๆ เดินหนีก็จะทำให้ผู้เล่นไม่วิ่งไปชนร่างปลอมให้เจ็บตัวเล่นด้วย


King Slime

มินิบอสตัวแรกของเกม แต่ถึงจะเป็นมินิบอส มันก็เก่งกว่าบอสอย่าง Eye of Cthulhu อย่างเห็นได้ชัด ตัวมินิบอสนั้นก็มีรูปร่างเหมือนกับสไลม์ทั่วไปสีฟ้า แต่แค่ใหญ่กว่าบ้านและมีมงกุฎอยู่บนตัวมัน พร้อมกับนินจาที่โดนมันงาบไปก่อนหน้านี้แค่นั้นเอง…

ตัวมินิบอสนั้นเมื่อถูกโจมตีจะทำการปล่อยลูกสไลม์ออกมาและมีขนาดตัวที่เล็กลงเรื่อยๆ และโจมตีด้วยการโดดใส่ไปเรื่อยๆ เพียงเท่านั้น ทำให้เป็นมินิบอสที่สู้ได้ง่ายมากถ้ารู้ทริคเล็กน้อย

King Slime นั้นจะปรากฎตัวออกมาสองวิธี นั่นคือหากมีปรากฎการณ์ฝนสไลม์ตก และผู้เล่นกำจัดสไลม์ได้ครบตามจำนวนที่กำหนดได้ก่อนฝนสไลม์หยุด หรือถ้าผู้เล่นมีเลือดมากกว่า 200 และอยู่ในพื้นที่ห่างจากใจกลางแผนที่ออกไปประมาณ 2/3 (มีโอกาสเกิดน้อยมากๆ)

• เงื่อนไขการต่อสู้ : ไม่มีเป็นพิเศษ
• ไอเท็มในการเรียก : Slime Crown

– How to Fight –

ตัว King Slime นั้นสามารถติดกับดักและ Block ต่างๆ ได้ ทำให้การต่อสู้กับมันนั้นค่อนข้างที่จะง่าย แต่ทั้งนี้มันก็ยังมีความสามารถในการเทเลพอร์ทไปยังตัวผู้เล่นโดยตรงได้ ถ้าระบบ AI เห็นว่าการกระโดดของมันไม่สามารถเข้าถึงตัวผู้เล่นได้ การโจมตีของมันก็มีเพียงกระโดดเตี้ยๆ สองครั้งและกระโดดสูงมากหนึ่งครั้งสลับไปเรื่อยๆ

• Easy with Robe

ด้วยความสามารถในการเทเลพอร์ททำให้ผู้เล่นไม่สามารถใช้วิธีกั้นกำแพงในการป้องกันไม่ให้มันโจมตีได้ แต่ก็สามารถแก้ทางได้ด้วยการใช้เชือกต่อจากพื้นให้ขึ้นไปสูงมากพอที่มันจะกระโดดใส่ไม่ถึงเท่านั้น และผู้เล่นก็สู้ด้วยการปีนเชือกขึ้นไปให้อยู่ในระยะที่มันจะสามารถกระโดด”สูง”โดน และปีนหนีขึ้นไปตอนที่มันกระโดด”สูง” เพื่อหลบ ก่อนจะปีนกลับลงมาเพื่อไม่ให้มันทำการเทเลพอร์ทนั่นเอง จากนั้นก็ใช้อาวุธระยะไกลอะไรก็ได้ยิงลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ตาย น่าสงสารจริงๆ…

ใน Expert นั้น มันจะทำการเรียกลูกสไลม์หนามออกมาเพิ่มเติมจากฝูงสไลม์ธรรมดาด้วย ทำให้การสูงกับมันบนพื้นเป็นอะไรที่อันตรายขึ้นมาก เพราะเจ้ากระสุนหนามของลูกสไลม์นั้นเจ็บใช่ย่อยเลยทีเดียว


Queen Bee

มินิบอสตัวที่สองในเกม และจัดว่าเป็นมินิบอสช่วงก่อน Hardmode ที่เรียกได้ว่าท้าทายความสามารถของผู้เล่นกันแบบสุดๆ เนื่องจากสภาพพื้นที่ที่จัดเตรียมได้ยาก การโจมตีที่มีหลายแบบ หลบได้ยาก รวมถึงพลังชีวิตที่สูงในระดับหนึ่งอีกด้วย

ตัวมินิบอสนั้นจะเป็นผึ้งราชีนีขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเขต Jungle โดยมีจุดสังเกตุคือเมื่อผู้เล่นเจอรวงผึ้งในป่านั้น แปลว่าต้องระวังตัวให้ดีแล้ว

แบบเนี้ย

Queen Bee มีเงื่อนไขปรากฎตัวที่น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือภายในรวงผึ้งนั้นจะมีตัวอ่อนอยู่บนแท่น ซึ่งหากได้รับความเสียหาย จะถูกทำลายและเรียก Queen Bee ออกมาทันที แถมในรวงผึ้งนั้นก็จะมีน้ำผึ้งที่เหนียวข้น รวมถึง Honey Block ที่ลดความเร็วของผู้เล่นอย่างมหาศาลอยู่อีกด้วย

• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ในพื้นที่ Jungle
• ไอเท็มในการเรียก : Abeemination

– How to Fight –

Queen Bee นั้นมีการโจมตีทั้งหมดสามรูปแบบหลักๆ นั่นคือ

– การบินหลบไปก่อนจะพุ่งชนจากด้านข้างต่อเนื่อง 4 ครั้ง (เล็งตำแหน่งจากความสูงที่ผู้เล่นเป้าหมายยืนอยู่ในตอนนั้น) ซึ่งสามารถหลบได้ด้วยการกระโดดหรือทิ้งตัวลงเปลี่ยนตำแหน่ง ซึ่งตอนปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกจะโจมตีด้วยวิธีนี้ทันที

– บินอยู่เฉยๆ และปล่อยฝูงลูกผึ้งออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่องพักหนึ่ง (ลูกผึ้งจะไม่หายไปจนกว่าจะถูกฆ่า)

– บินไปมาและยิงเหล็กไนเข้าใส่ผู้เล่น ระหว่างนี้อาจจะบินอยู่กับที่ บินวนซ้ายขวา หรือบินวนไปมาก็ได้ สามารถหลบได้ด้วยการเคลื่อนที่ไปมาตลอดเวลาและโดดล่อให้ยิงพลาด

• Not the Bee!

การต่อสู้กับ Queen Bee จึงมีลักษณะเหมือนกับบอสมากกว่าจะเป็นมินิบอสเนื่องจากรูปแบบการโจมตีและพลังชีวิตที่มากมาย หากมองเห็นรวงผึ้ง ผู้เล่นสามารถจัดเตรียมพื้นที่ล่วงหน้าสำหรับการต่อสู้กับมินิบอสได้ ซึ่งพื้นที่โล่ง มี Wood Platform ให้โดดหลบเหมือนกับ Eye of Cthulhu นั้นยังคงเหมาะสมอยู่เสมอ แต่บางคนก็อาจจะต้องการแค่พื้นโล่งๆ และเพดานเล็กๆ สำหรับการหลบเวลาที่มินิบอสยิงเหล็กไนใส่รัวๆ ได้

สิ่งที่ทำให้ Queen Bee ยากนั้นจะอยู่ใน Expert ที่เมื่อเลือดของมันลดลงไป จะทำให้มันเร็วขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเหลือต่ำกว่า 10% นั้นเรียกได้ว่าไวเป็นปรอทไม่ต่างกับ Eye of Cthulhu เลยทีเดียว การจะหลบท่าพุ่งชนของมันนั้น ทำได้เพียงทางเดียวคือการดักทางล่วงหน้าเท่านั้น


Skeletron

บอสผู้เฝ้าทางลงไปใน Dungeon และมันจะปรากฎตัวออกมาโจมตีผู้เล่นทีเดียวตายทันทีหากผู้เล่นไม่กำจัดมันก่อนลงไปใน Dungeon แต่ทว่าตัวบอสนั้นกลับไม่ได้ปรากฎตัวให้เห็นตรงๆ ตั้งแต่แรก และอยู่ในรูปแบบของคำสาปของ NPC Old Man ที่อยู่หน้า Dungeon นั่นเอง

Skeletron จะปรากฎตัวเมื่อผู้เล่นทำการคุยกับ NPC Old Man และเลือกปลดคำสาป ตัว NPC Old Man จะตายไปและเรียก Skeletron ออกมาทำการต่อสู้ทันที

ตัวบอสนั้นประกอบไปด้วยส่วนหัวที่ต้องทำลายเพื่อกำจัดมัน และส่วนมือที่ใช้ในการโจมตีผู้เล่นเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามใน Expert นั้น ผู้เล่นจะถูกบังคับให้ทำลายมือให้ครบสองข้างก่อน ไม่งั้นส่วนหัวจะมีพลังป้องกันที่สูงจนโจมตีไม่เข้าเลยทีเดียว

• เงื่อนไขการต่อสู้ : ตอนกลางคืนเท่านั้น
• ไอเท็มในการเรียก : Clothier Voodoo Doll (พกไอเท็มนี้ติดตัวและฆ่า NPC Clothier ในตอนกลางคืนเท่านั้น)

– How to Fight –

Skeletron นั้นมีรูปแบบการโจมตีหลักๆ สองแบบ นั่นคือการใช้มือสลับกันโจมตีด้วยการกวาด หรือฟาด (อันที่จริงก็แค่พุ่งมาชนผู้เล่น ขึ้นกับตำแหน่งของผู้เล่นกับมือแค่นั้นแหละ) ซึ่งส่วนหัวนั้นจะพยายามลอยอยู่เหนือผู้เล่นตลอดเวลา ในขณะที่ส่วนมือนั้นจะตามมาช้ากว่า ทำให้การหลบนั้นทำได้ค่อนข้างยากเพราะหาทิศทางไม่ถูก

อีกรูปแบบนั้นคือการที่หัวของ Skeletron จะร้องคำรามก่อนจะหมุนและลอยเข้ามาโจมตีผู้เล่นโดยตรง ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงมาก โดยเฉพาะใน Expert ที่สามารถฆ่าผู้เล่นได้ในการโจมตีโดนไม่กี่ทีเท่านั้น

• Hand First

การสู้กับ Skeletron ให้ง่ายจึงเป็นการจัดเตรียมอาวุธให้พร้อมจากใน Jungle เสียก่อน จากนั้นให้เตรียมพื้นที่กว้างด้วย Wood Platform ยาวประมาณ 2-3 หน้าจอ สำหรับวิ่งหนีตอนที่หัวมันหมุนใส่ซัก 2-3 ชั้น หากสะดวก การทำลายมือก่อนจะทำให้การต่อสู้นั้นง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ว่าใน Expert นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากผู้เล่นจะต้องทำลายมือทั้งสองข้างก่อนเสมอ และหากมือข้างใดข้างหนึ่งถูกทำลาย ส่วนหัวจะมีการปล่อยกระโหลกหมุนออกมาโจมตีเป็นวิถีโค้งวน ซึ่งจะยิงออกมาเรื่อยๆ วนตามเข็มนาฬิกา ทำให้การต่อสู้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้เล่นจะต้องกะจังหวะลดเลือดของมือทั้งสองข้างให้ใกล้เคียงกันก่อนจะทำลายพร้อมกันให้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหายจากการที่ต้องสู้กับมือพร้อมกับกระโหลกหมุนรบกวน นอกจากนี้การถูกมือโจมตีจะทำให้ผู้เล่นติด Debuff Slow ทำให้หลบยากขึ้นอย่างมากอีกด้วย


Wall of Flesh

บอสตัวสุดท้ายที่เปิดด่านเข้าสู่ Hardmode ของ World นั้นๆ ตัวบอสนั้นมีรูปร่างเป็นกำแพงเนื้อขนาดใหญ่ที่มีลูกตาสองดวงอยู่ด้านบนและล่าง และมีปากน่าขยะแขยงอยู่ตรงกลาง จุดอ่อนของมันนั้นอยู่ที่ลูกตา และปาก (โดยในส่วนปากนั้นจะมีพลังป้องกันสูงกว่า แต่เล็งได้ง่ายกว่า)

บอสตัวนี้มีความพิเศษตรงที่มีการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสุดแผนที่และก็จะหายไป ซึ่งจะเป็นด้านซ้ายหรือขวาก็ได้ ขึ้นกับตำแหน่งที่บอสเกิดว่าอยู่ห่างจากอีกด้านทางไหนมากกว่ากัน ผู้เล่นที่อยู่ใกล้กับบอส(อันที่จริงก็ค่อนข้างไกล)จะติด Debuff Horrified ซึ่งทำให้หากผู้เล่นอยู่ด้านหลังของบอสหรืออยู่ไกลเกินไป มันจะทำการจับผู้เล่นเขวี้ยงมาด้านหน้าของมันใหม่ไปเรื่อยๆ และหากทำการเทเลพอร์ทกลับบ้านจะถูกฆ่าตายในทันที

ตัวบอสนั้นจะถูกเรียกออกมาได้ด้วยการโยนไอเท็ม Guide Voodoo Doll ลงไปในลาวาเมื่ออยู่ใน Underworld ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้เล่นโยนก็ได้ หากทำการฆ่า Demon และมันดันแบกไอเท็มนี้มาด้วย ก่อนจะหล่นตุ๋มลงไปในลาวา ความเรือหายก็บังเกิดได้เช่นกัน

สิ่งที่ควรระวังให้มากที่สุดคือ เมื่อเอาชนะ Wall of Flesh ได้นั้น World จะตัดเข้า Hardmode ทันทีโดยไม่มีการยืนยันหรือรีรออะไรอีก หากผู้เล่นยังเตรียมการไม่พร้อม ควรหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับมันจนกว่าจะพร้อมจริงๆ เท่านั้น

• เงื่อนไขการต่อสู้ : อยู่ในพื้นที่ Underworld
• ไอเท็มในการเรียก : Guide Voodoo Doll (ตกลงไปใน Lava ด้วยวิธีใดๆ ก็ตามภายใน Underworld)

– How to Fight –

การเตรียมการต่อสู้กับ Wall of Flesh นั้นยุ่งยากที่สุดก็ว่าได้ เนื่องจากผู้เล่นต้องวิ่งหนีบอสพร้อมกับสู้ไปเรื่อยๆ อย่างยาวนานท่ามกลางพื้นที่ Underworld โดยไม่สามารถหนีไปไหนได้ และมันก็เต็มไปด้วยลาวาและศัตรูที่โจมตีได้รุนแรง สิ่งที่ผู้เล่นต้องทำคือการใช้ Block จำนวนมาก วางต่อกันเป็นสะพานยาวๆ เพื่อใช้เป็นพื้นที่วิ่งหนีระหว่างต่อสู้นั่นเอง แอว่ก แค่อ่านก็เหนื่อยแล้ว

*ใน Expert นั้น Lava Slime ที่ตายจะปล่อยลาวาออกมา จึงควรเว้นช่องว่างหรือขุด Block สะพานทิ้ง 1 ช่องเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันลาวาไหลมาโดนผู้เล่นตาย*

ตัว Wall of Flesh นั้นมีรูปแบบการโจมตีง่ายๆ คือการลอยขวางเป็นกำแพง บีบให้ผู้เล่นวิ่งหนีไปเรื่อยๆ เมื่อเลือดลงก็จะเคลื่อนที่เร็วขึ้น ระหว่างนั้นก็จะมีการโจมตีเพิ่มเติมคือ

  • ยิงเลเซอร์ออกมาจากลูกตา เมื่อเลือดลดลงก็จะยิงถี่และแรงขึ้นมาก
  • มาพร้อมกับ Hunger ที่เป็นเหมือนกับปากเล็กๆ เย็บติดกับตัวมัน จะยื่นมากัดผู้เล่นอย่างรุนแรง เมื่อถูกโจมตีได้ระดับหนึ่งเอ็นที่ยึดจะขาดออก และพุ่งมาไล่กัดต่อให้เสียเวลาฆ่าพวกมันเพิ่ม (ใน Normal จะมีเท่าที่เห็น แต่ใน Expert จะเกิดใหม่เรื่อยๆ)
  • ที่ปากจะอ้วกตัวหนอนเลือด Leech ออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งก็เหมือนกับไส้เดือนที่เจอตามปกติ ยกเว้นมีความรวดเร็วกว่ามาก เมื่อกำจัดได้จะมีไอเท็มหัวใจฟื้นเลือดหล่นให้เก็บ (ถ้าเก็บมันทันนะ…)

การสู้กับบอสนั้น จะเป็นการใช้อาวุธระยะไกลระดมยิงทำลายฝูง Hungry ในช่วงแรกให้เบาบางลงก่อน จึงจะสามารถเริ่มโจมตีส่วนปากได้โดยตรง แม้ว่าลูกตาจะโดนโจมตีได้แรงกว่า แต่ลูกตาล่างมันจะจมอยู่ใต้ดินหรือสะพาน ในขณะที่ลูกตาบนมักจะติดเพดานบ้างอะไรบ้าง ทำให้ส่วนปากมักเป็นเป้าที่ดีกว่า

ผู้เล่นจะไม่ค่อยมีปัญหาในตอนแรก เพราะตัวบอสนั้นยังเคลื่อนที่ช้า โจมตีไม่แรง มีเพียงพวก Hungry เท่านั้นที่เป็นปัญหา แต่เมื่อเลือดบอสเริ่มลด เลเซอร์ที่ยิงออกมานั้นจะเริ่มสร้างความเสียหายได้รุนแรง และหลบได้ยากมากเนื่องจากพุ่งมาเร็ว แม้จะมีเสียงเตือนก็ตาม รวมถึงเหล่า Leech นั้นก็กัดแรงเหลือเกิน การพยายามกระโดดดักเลเซอร์และ Leech สลับกับการจำเส้นทางที่กำลังจะวิ่งไปถึงจึงเป็นอะไรที่สำคัญที่สุด

ผู้เล่นสามารถบรรเทาความเสียหายจากเลเซอร์ได้ด้วยการสร้างกำแพงเหนือสะพาน หรือเพดานเล็กๆ เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันเลเซอร์จากลูกตาได้ และเนื่องจากเลเซอร์จะยิงมาจากลูกตาเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นมักไม่ต้องระวังลูกตาด้านล่าง และสามารถกะความสูงในการป้องกันเลเซอร์จากด้านบนได้ง่ายขึ้นด้วย

อาวุธระยะไกลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Phoenix Blaster, Minishark, Beenades, The Bee’s Knees รวมถึง Hellwing Bow นั้นเหมาะในการสู้กับ Wall of Flesh ทั้งสิ้น

ก็เป็นอันเรียบร้อยสำหรับเหล่าบอสและมินิบอสในช่วงก่อน Hardmode ที่หลายคนไม่น่าจะมีปัญหากัน (ยกเว้นใน Expert ที่น่าจะโดนรับน้องเละกันเป็นทิวแถว) ซึ่งในครั้งต่อไปก็จะมาพูดถึง Hardmode กันบ้างจ้า

RELATED ARTICLES

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

Most Popular

Recent Comments