ขา Co-Op วันนี้ ถ้าจะพูดถึงเกมแนว Sandbox สร้างบ้านหนุกหนานที่มีความเป็นแอคชั่น RPG มากกว่า Minecraft แล้ว จะขาด Terraria ไปซักเกมก็คงเหมือนกับบอกว่าน้ำอัดลมไม่มีโค๊กหรือเป๊ปซี่อยู่กะไรอย่างนั้น ตัว Terraria เองก็เป็นผลงานของทางค่าย Re-Logic ที่ได้ทำตัวเกมออกมาเป็นรุปแบบของ 2D action platformer ผสมกับการเล่นแบบ Sandbox ในการสร้างบ้านและคราฟสิ่งต่างๆ ผลที่ได้นั้นเรียกว่าออกมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จนกลายมาเป็นแม่แบบให้กับเกม 2D action sandbox ในยุคหลังๆ
Steam : Terraria
Review Terraria
เมื่อพูดถึงตัวเกมนั้น ก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการสร้างและการบู๊จริงๆ ถ้าจะให้กล่าวสั้นๆ มันคือเกมแนวสองมิติกระโดดยิงบอสที่มีการสร้างบ้านนั่นเอง ผู้เล่นจะได้วิ่งตะล๊อกๆ ตามหาวัตถุดิบในการสร้างที่พักเล็กๆ เอาตัวรอดจากมอนกิ๊กก๊อกที่ดันฆ่าเราตอนต้นเกมได้ ก่อนจะพยายามเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้ในเวลากลางคืนเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใส และเริ่มออกล่าวัตถุดิบใหม่เพื่อจะสร้างอาวุธที่ดีขึ้นหรือบ้านที่ใหญ่ขึ้น สวยขึ้นก็แล้วแต่แนวการเล่นของแต่ละคน บางคนก็ชิ่งไปไล่ตะลุยบอสรัวๆ ก็ไม่ผิดกฎกติกาแต่อย่างใด
ตัวเกมเองเมื่อเริ่มเล่นก็จะทำการสร้างโลกขึ้นมาแบบสุ่ม (ที่ผู้เล่นปรับค่าบางส่วนได้บ้าง) ทำให้ในบางโลกอาจจะมีลักษณะอย่างหนึ่งหรือมีวัตถุดิบเฉพาะอยู่ ในขณะที่อีกโลกอาจจะมีลักษณะอีกอย่างหนึ่งหรือเอาตัวรอดได้ง่ายกว่าในช่วงแรก ซึ่งก็เป็นทั้งในแง่ของความแตกต่างและความท้าทายในการตามหาของที่ต้องการกันไป
ด้านการเล่นนั้นมีลักษณะที่เรียบง่ายตามสไตล์ 2D action platformer ทำให้เล่นและเข้าใจได้ง่าย แต่ก็มีความลึกที่ทำให้ผู้เล่นเก่งๆ สามารถคิดค้นทริคและเทคนิคในเกมมาใช้ในการเล่นเพื่อเอาชนะศัตรูยากๆ ได้ง่ายขึ้น แทนที่จะกระโดดยิงไปยิงมาเฉยๆ รวมไปถึงการสร้างสิ่งต่างๆ นั้นก็ง่ายไม่จำเป็นต้องจำสูตรการวางอะไรให้วุ่นวาย ของครบเป็นอันสร้างได้ทันทีเมื่ออยู่หน้าเครื่องก่อสร้าง ประกอบกับการที่สามารถเล่นได้ทั้ง Single Player และ Multiplayer ทำให้ตัวเกมนั้นตอบรับกลุ่มผู้เล่นได้มากขึ้นมาก และยังไม่กินเครื่องเท่าไหร่อีกด้วย แฮ่
It’s a Sandbox (มันคือเกมสร้างบ้าน)
ในด้านการสร้างนั้น ช่วงยุคแรกๆ ที่เกมออกใหม่อาจจะยังไม่มีอะไรให้สร้างเยอะนัก แต่ในปัจจุบันนั้นตัวเกมได้ Update มามากมายจนของที่มีให้สร้างนั้นบานเบือกตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งยันวอลเปเปอร์ หรือแม้กระทั่งระบบสายไฟ ซึ่งเอื้ออำนวยให้ผู้เล่นสร้างระบบกลไกต่างๆ ได้อย่างมากมาย (และก็มีผู้เล่นเจ๋งๆหลายท่านเอามาเล่นซะโคตรอลังการไม่แพ้ Minecraft กันเลย)
แน่นอนว่าก็ไม่ได้มีแค่การสร้างเพื่อความสวยงาม การจะทำอาวุธหรือชุดเกราะและของใช้ที่จำเป็นต่างๆ ก็จะต้องสร้างขึ้นมา เพียงแค่ว่าตัวเกมจะตัดทอนความยุ่งยากที่ต้องจัดเรียงไอเท็ม ให้กลายเป็นเป็นรูปแบบ Old-scrool ยุคเก่าๆ นั่นคือ ขอแค่มีของครบพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสร้างก็กดสร้างได้ทันที และด้วยความเป็น Sandbox ทำให้ตัวเกมนั้นสามารถเอาของเกือบทุกอย่างในเกมมาใช้ในการตกแต่งได้ ตั้งแต่เศษดิน แร่ที่ขุดได้ ไปจนถึงอาวุธในตำนานมาแปะข้างฝาบ้าน
It’s also RPG! (และมันก็คือ RPG)
ขณะเดียวกันเกมก็ได้เน้นไปที่ความเป็น 2D action RPG มากกว่าด้าน Sandbox โดยตรง ด้วยการใส่ระบบการต่อสู้ต่างๆ เข้ามาอย่างเต็มที่ เพรียบพร้อมด้วยศัตรูที่มีอยู่มากมายและอาวุธหลากหลายประเภท ให้ผู้เล่นได้จัดหามาใช้ตามแนวที่ตัวเองถนัดกัน ทำให้ตัวเกมมีความตื่นเต้นและสนุกในด้าน RPG มากกว่าการสร้างแบบและก็ถือว่าเป็นจุดแข็งของ Terraria เลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าถ้าพูดถึง 2D action แล้ว การขาดบอสไปก็คงไม่ใช่เรื่อง ตัวเกมเองก็ได้บรรจุบอสมาหลายตัวอยู่ไม่น้อย แต่ละตัวก็มีลูกเล่นหรือเทคนิคที่อำนวยให้สู้กับบอสเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ลองพยายามค้นหาหากสู้กันตรงๆ ไม่ได้ รวมไปถึงตัวเกมเองก็ยังมี Monster Event ต่างๆ ที่จะปรากฎตัวตามเงื่อนไขมาหลอกหลอนให้ผู้เล่นที่กำลังเตรียมตัว หรือพักเหนื่อยได้เจออะไรถล่มกันให้เละเทะกันไปข้างทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมให้เงิบกันไป
Keep Mining, Keep Exploring (ขุดต่อไป, สำรวจต่อไป)
แม้ว่าตัวเกมจะเน้นด้าน RPG มากกว่าการสร้าง แต่การจะทำให้เราสามารถไปต่อในเกมได้นั้น ใช่ว่าตีมอนอย่างเดียวทั้งวันจะทำได้ ตัวเกมจะบังคับกลายๆ ให้ผู้เล่นต้องขุดดินหรือออกสำรวจ เพื่อค้นหาเงื่อนไขในการปลดเนื้อหาขั้นต่อไปในเกมเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเก็บพลังชีวิตเพิ่มให้ครบบอสจึงจะโผล่ การไปหาทางเข้าดันเจี้ยนที่ปิดตาย หรือแม้แต่การลงไปเยือนนรก ซึ่งตัวผู้เล่นจะทำตามขั้นตอนหรือลัดขั้นตอน อาศัยความพยายามกับกึ๋นในการเอาชนะศัตรูโดยที่ตัวเองยังไม่พร้อมก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
การออกสำรวจในเกมนั้นจะทำให้ผู้เล่นจะต้องไปเจอกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ทุ่งน้ำแข็ง เกาะบนท้องฟ้าหรือเขตที่ถูกความเสื่อมโทรมกัดกิน จนกระทั่งนรกใต้ดิน สถานที่เหล่านี้จะบังคับให้ผู้เล่นต้องหาทาง Upgrade ชุดเกราะและอาวุธของตัวเอง รวมถึงหาเทคนิคในการเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ซึ่งบางที….. ความรู้ Sandbox ก็ช่วยคุณได้
Co-op คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย(ก่อน)
การที่เล่น Co-op แบบ drop-in ได้อิสระ แถมยังเอาเซฟที่เราเล่นทิ้งไว้ใน Single Player มาเล่นใน server ต่างๆ ได้ ทำให้ตัวเกมเมีความอิสระมากขึ้น เพราะตามปกติแล้วเมื่อเล่นหลายคน ก็จะมีการแย่งทรัพยากรต่างๆ กันตามประสา (อันที่จริงแล้วทรัพยากรมันก็มีมากพอที่จะรองรับผู้เล่นจำนวนมากได้ แต่ต้องวิ่งหากว้างขึ้นเท่านั้นเอง) การเปิดกว้างในลักษณะนี้ก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถแยกตัวไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพื่อสร้างความอลังการให้กับโลกหลักที่เล่นกันอยู่ได้ง่ายขึ้น หรือสะสมมารวมกันง่ายขึ้นนั่นเอง
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย บางครั้งมันก็ทำให้งานกร่อยได้หากผู้เล่นบางคนไปฟาร์มจนล้น หรือเอาของที่เกินกว่าระดับการเล่นในตอนนั้นมาแจกคนอื่น ก็อาจจะทำให้ความสนุกในการค่อยๆ เล่นลดลงได้บ้าง อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามรายบุคคล เนื่องจากแต่ละคนก็มีแนวการเล่นไม่เหมือนกัน (ฮา)
E-X-P-E-R-T (โ-ห-ด-โ-ค-ต-ร)
ถ้าคิดว่าการเล่นแบบธรรมดาง่ายไป ตัวเกมก็ยังมีความยากแบบอื่นให้เลือกไม่ว่าจะเป็นการตายได้ครั้งเดียวหรือตายแล้วของตกเฉยๆ แต่ที่ยกระดับเลยจริงๆ ก็จะเป็นส่วนของการตั้งเป็นแบบ Expert ที่ศัตรูต่างๆ จะเก่งขึ้นมากในแง่ของพลังโจมตีและพลังป้องกัน แต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้เล่น เพียงแค่ต้องระวังตัวกันมากขึ้นกว่าเดิมสุดๆ การเผลอซักพักเดียวอาจจะทำให้เละเป็นชิ้นๆ ได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ในระดับ Expert Mode ก็ยังเพิ่มรูปแบบการโจมตีของบอสต่างๆ เสริมเข้าไปด้วย ทำให้ตัวเกมยากขึ้นเป็นเงาตามตัวเมื่อต้องสู้กับบอสต่างๆ แต่ของรางวัลเฉพาะในระดับ Expert นั้นก็ค่อนข้างที่จะคุ้มค่าและการที่ได้มามันก็น่าภูมิใจกว่าในการเล่นธรรมดาไม่น้อยเลยทีเดียว
สรุป Review Terraria
ไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นหลายคนพร้อมกันก็ตามที ก็คงต้องยอมรับว่า Terraria นั้นสามารถตอบโจทย์ในแง่ของเกมแนว 2D action แบบที่มีการสร้างแบบ Sandbox ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นที่เข้าใจง่าย วิธีการสร้างของที่ไม่ซับซ้อนและค้นหาสูตรหรือจำนวนที่ต้องใช้ได้ด้วยตัวเอง บรรยากาศในฉากที่มีหลากหลาย ลูกเล่นของเล่นประดับฉากที่เยอะตระการตา บอสที่ทำให้การเล่นไม่จำเจจนเกินไป
ใครที่ชอบเล่นเกมแนว 2D platformer ก็จะสามารถสนุกกับเกมได้ไม่ยาก ในขณะที่คนที่ชอบสร้างด้วยก็จะสนุกเข้าไปอีก แต่ถ้าชอบสร้างเพียงอย่างเดียวนั้นอาจจะลำบากหน่อย อาศัยเล่นกับเพื่อนเอาก็ยังคงได้อยู่จ้า ซึ่งถ้าใครเป็นเกมเมอร์สายนี้จริงๆ หมาก็ขอแนะนำให้จัดมาดีกว่า ราคาไม่แพงนักแต่คุ้มค่าแน่นอน
▲ จุดเด่น
– Co-Op แบบที่อยากเข้ามาเล่นด้วยกันเมื่อไหร่ก็ได้
– เป็นเกมแนว 2D platformer ที่ผสมความเป็น Sandbox ได้ลงตัวในราคาที่ไม่แพง แต่ได้เนื้อหาเยอะมาก
– มีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศก็ดี ศัตรูก็ดี ของประดับต่างๆ รวมถึงอาวุธและบอส
– การสร้างของต่างๆ ทำได้ง่ายและผู้เล่นค้นหาได้ด้วยตัวเองไม่ยากนัก
– เลือกระดับความยากได้
– แต่งตัวแฟชั่นได้
▼ จุดด้อย
– การฆ่าบอสเพื่อให้ได้ของที่ดีขึ้น วนลูปไปจนถึงบอสตัวสุดท้าย โดยไม่มีอะไรมารองรับความสะใจของอาวุธนั้น ตรงข้ามกับแนวการเล่นแบบหาของมาเพื่อเอาชนะบอสให้ได้
– ตัวเลือกในการสร้างโลกค่อนข้างน้อย
– การโจมตีของบอสและศัตรูบางอย่างก็ดูจะเล่นง่ายไปหน่อย เน้นตอดเบาหน่อยแบบที่เราหลบได้ยากมาก
– เน้นด้าน 2D action มากกว่า Sandbox ทำให้สาย Sandbox ที่มีหลายอย่าง เช่นการปลูกผักหรืออะไรนั้นขาดหายไปอยู่